วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตำรวจเจ๋ง

เมื่อเช้าได้ยินข่าวว่าตำรวจจับโจรได้ ๑๔ คน ด้วยการส่งจดหมายไปที่บ้าน หลอกว่าได้รับรางวัลใหญ่ เป็นเครื่องไฟฟ้า โจรหลงเชื่อ เดินทางจะมารับของรางวัล กลายเป็นมาให้ตำรวจจับถึงที่ ตำรวจก็เลยจับตัวได้โดยละม่อม (อยากจะเล่นมุข “ละม่อม” เหมือนกัน แต่มันเก่าแล้ว ไม่เล่นดีกว่า อิอิ)

โจรที่โดนจับบางคนยังมีหน้ามาบ่นว่า ตำรวจเจ้าเล่ห์ อีกนะ ตำรวจบอกว่าวิธีนี้เป็นเทคนิคการสืบสวนสอบสวนแบบเก่า ๆ ที่คนหลงลืมกันไปแล้ว (ก็ถ้าไม่ลืม โจรคงไม่หลงกลตำรวจหรอกเนอะ) แต่ก็ได้ยินว่าเขาเอามาจากหนังฝรั่ง Sea of Love เราไม่เคยดู แต่ฟังชื่อแล้วน่าจะเก่าน่าดู

ฟังข่าวนี้แล้วนึกไปถึงเรื่องที่ตำรวจทำปฏิทินหน้าผู้ร้ายแจกชาวบ้าน พร้อมตั้งรางวัลสินบนนำจับ ที่ฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน อันนั้นก็ไอเดียเก๋ และช่วยให้จับโจรปิดคดีค้างเก่าไปได้หลายคดี ใกล้ ๆ ปีใหม่มีข่าวดี ๆ ของตำรวจก็ดีเนอะ ไม่ใช่มีแต่ข่าวตำรวจรีดไถ ให้เซ็งส่งท้ายปี...

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บัตรทางด่วนประเทศไทย

การทางพิเศษยกเลิกบัตรทางด่วนแบบเก่า เขาก็เรียกบัตรคืน ถ้าไม่ไปคืนเองในเวลาราชการที่เกษตร กรอกเอกสารแล้วยื่นตามด่านต่าง ๆ ได้ เขาจะคืนเงินเข้าบัญชีธนาคาร

เรายื่นเรื่องไปเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ได้เงินคืนวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ใช้เวลาแค่ ๕ เดือนครึ่ง (กับการโทรไปตามเรื่องอีกประมาณ ๓-๔ รอบ)

ตอนแรก ๆ ที่โทรไปตามเรื่องเขาบอกว่าได้เงินคืนช้า เพราะคนทำเรื่องคืนกันเยอะ สงสัยว่าเขาเพิ่งมารู้ตอนที่เรียกบัตรคืนนี่หรือไง ว่าออกบัตรไปทั้งหมดกี่ใบ

ครั้งสุดท้ายที่เราโทรไป เขาบอกว่าที่เราได้เงินช้า เพราะชื่อที่กรอกตอนขอเงินคืน ไม่ตรงกับชื่อคนที่ซื้อบัตร อ้าว... แล้วไงอ่ะ แล้วจะจ่ายเงินคืนไหม เขาบอกว่าจ่ายคืน อ้าว... แล้วแบบนี้เสียเวลาจะตรวจโน่นนี่ไปทำไมกัน

ไม่เข้าใจว่าเครื่องอ่านบัตรก็มีอยู่ทุกด่าน ทำไมไม่อ่านบัตรแล้วก็คืนเงินสดตรงนั้นไปเลย หรือจะคืนเป็นคูปองเป็นเช็คอะไรก็ว่ากันไป

บัตรแบบใหม่ทีแรกบอกว่าจะเปิดใช้เดือนพ.ย. แต่ข่าวล่าสุดก็ว่าเลื่อนไปปีหน้า คนที่จ่ายเงินซื้อบัตรไปแล้วไปขอเงินคืนได้ แต่ไม่บอกว่าปีไหนจะได้เงินคืน โชคดีจริง ๆ ที่เราไม่บ้าจี้ไปซื้อบัตรใหม่กับเขา เฮ้อ...

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เศรษฐกิจถดถอยไม่ต้องท้อแท้

เมื่อคืนฟังพ็อดคาสต์ของอังกฤษ ชื่อ The Naked Scientists เป็นรายการที่เอาเรื่องเกี่ยวกับวงการวิทยาศาสตร์มาเล่าให้ฟัง

(นอกเรื่องนิดหนึ่ง ตั้งแต่เพื่อนเราแนะนำให้ฟังพ็อดคาสต์ไทย “ช่างคุย” เราก็เลยมีโอกาสฟังพ็อดคาสต์ของที่อื่น ๆ ด้วย แต่ฟังพ็อดคาสต์อยู่ตั้งน้านนน... กว่าจะรู้ว่า พ็อดคาสต์ แปลว่าอะไร

Podcast ก็คงล้อมาจากคำว่า broadcast หรือการกระจายเสียง คำว่าพ็อด เขียน Pod เราก็นึกถึงอะไรที่มันเป็นกระเปาะ ๆ เป็นฝัก ๆ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับอะไรที่เอามาฟังเลย แต่ที่จริงมันเป็นตัวย่อตะหาก POD = Play On Demand = เล่นตามใจ

PODcast ก็คือการกระจายเสียงที่คนฟังจะดาวน์โหลดมาฟังเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่เหมือน broadcast ที่ออกอากาศตามเวลา ถ้าไม่ได้ฟังเวลาที่ออกอากาศ ก็อดฟังไปเลย เอ.. เราเขียนว่า “ฟัง” แต่ที่จริงพ็อดคาสต์เป็นวิดีโอก็มี เอาเป็นว่าฟังกะได ดูกะไดนะ .. (อืมม ไอ้มุข “กะได” นี่จะมีใครเก็ทกับเราไหมฟระ))

อ่ะ... กลับมาเรื่องเศรษฐกิจถดถอย The Naked Scientists เล่าว่านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ตีพิมพ์ผลงานเมื่อเดือนกันยายนปีนี้ บอกว่าเศรษฐกิจถดถอย (recession) อาจจะดีกับสุขภาพของเรา

นักวิจัยเขาย้อนไปดูอัตราการตายของประชากรในช่วง The Great Depression (ช่วงทศวรรษ ๑๙๓๐) ในศตวรรษ ๑๙๒๐ เศรษฐกิจสหรัฐบูมมาก ๆ แต่พอเกิดเหตุการณ์ Black Tuesday ๒๙ ตุลาคม ๑๙๒๙ (เหมือนเลขหวยยังไงชอบกล) ตลาดหุ้นสหรัฐเจ๊งรูดในวันเดียว ปีถัดมากิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงฮวบ อัตราการว่างงานพุ่งปรี๊ด

เขาก็คิดกันว่ามันน่าจะมีผลต่อสุขภาพความเป็นอยู่ของคน แต่พอไปดูสถิติการตายของคนช่วงปี ๑๙๒๐ ถึง ๑๙๔๐ ปรากฏว่าในปีที่เศรษฐกิจบูม อัตราการตายของคนก็เพิ่มสูงไปด้วย สวนกับความรู้สึกที่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี คนตกงาน ไม่มีเงินกินใช้ น่าจะตายเยอะกว่าไหม

มีคนตั้งสมมติฐานว่า อาจจะเป็นเพราะผลลัพธ์มันเกิดช้า คือ ตอนช่วงเศรษฐกิจไม่ดี คนอยู่กันแบบอด ๆ อยาก ๆ ไม่ดูแลสุขภาพ ใช้เวลาอีกพักหนึ่ง กว่าจะมาแสดงผลทำให้คนป่วยเสียชีวิตก็เป็นตอนเศรษฐกิจฟื้นพอดี แต่สมมติฐานนี้ตกไป เพราะอัตราการตายมันไม่สอดคล้องกับช่วงฟุบ-ช่วงเฟื่องของเศรษฐกิจ

นักวิจัยสรุปว่าเวลาเศรษกิจดี มันดีกับกระเป๋าตังค์ แต่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะเราต้องทำงานหนักขึ้น ก็เครียด เหนื่อย ล้า แล้วก็มีตังค์เหลือเฟือพอที่จะเอาไปซื้อสิ่งทำร้ายสุขภาพอย่างเหล้า/บุหรี่ นอกจากนั้นช่วงเศรษฐกิจดี คนก็มีตังค์ซื้อรถ รถวิ่งกันเต็มถนน เกิดมลภาวะ เกิดอุบัติเหตุ คนก็ตายเยอะขึ้นอีก

สรุปว่าเศรษฐกิจแย่ก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีต่อสุขภาพของเรา คิดซะว่าได้หยุดพักเครื่อง หาเงินได้น้อย ก็พยายามกินอยู่อย่างพอเพียง ก็ไม่แย่จนเกินไปนะ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เราเล่นเกมส์ หรือ บริษัทเกมส์เล่นเรา

ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เราเข้าไปติดกับเกมส์ออนไลน์ใน facebook อย่างหนึบหนับ ก่อนหน้านี้เคยสมัครสมาชิก facebook ไว้ตั้งนาน แต่ไม่ได้ทำอะไรกับมัน เพราะไม่เข้าใจว่าต้องจะเข้าไปทำอะไร

ในช่วงที่เราติดเกมส์หนึบหนับ ได้เข้าเว็บ facebook บ่อย ๆ ก็เลยสังเกตว่าคนส่วนใหญ่ใช้ facebook ไว้อัพเดทสถานะของตัวเองว่ากำลังทำอะไร อัพโหลดรูปต่าง ๆ ไว้ให้เพื่อน ๆ ดู แล้วก็จะมีเพื่อน ๆ มาคอมเมนต์ ก็ประมาณว่าเอาไว้ใช้สังสรรค์ออนไลน์นั่นเอง

เราแทบไม่ได้อัพเดทสถานะเลย เพราะไม่รู้ว่าจะประกาศไปทำไม รูปก็ไม่เคยอัพเดท เพราะไม่รู้ว่าจะโชว์ไปทำไม เพื่อนก็มีไม่เยอะอีกตะหาก (เคยสมัคร Hi5 แล้วมีเพื่อนไม่ถึงห้าคนอ่ะ ทำเว็บเขาเสียชื่อมาก ๆ)

แต่ที่เราหลวมตัวไปเล่นเกมส์ นี่แหละที่ทำให้เป็นเรื่อง ทำเอาเสียงานเสียการ สองสามวีคเอ็นด์ที่ผ่านมา เราเอาแต่นั่งคลิก ๆ เป็นบ้าเป็นหลัง ยังดีที่ออฟฟิศบล็อคเว็บเกมส์ ไม่งั้นเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะห้ามใจไม่เล่นเกมส์เวลางานได้หรือเปล่า

เรากำลังคิดว่าจะเลิกเล่นเกมส์ใน facebook ก่อนที่จะนรกไปมากกว่านี้ กำลังทำใจอยู่ว่าจะค่อย ๆ เลิกหรือหักดิบดี ก็พอดีไทม์ฉบับล่าสุดเขียนเรื่องเกม Mafia Wars (หนึ่งในเกมส์สุดฮิตใน facebook ซึ่งเราก็เล่นกับเขาด้วย - เป็นเกมที่เราเป็นมาเฟีย และหาเงินจากจ็อบผิดกฏหมายต่าง ๆ) เขาบอกว่าแต่ละเดือนมีคนเข้าไปเล่น Mafia Wars ประมาณ ๒๕ ล้านคน

โอ้แม่เจ้า... มากกว่าประชากรของประเทศออสเตรเลียซะอีก!!! (และจากข้อมูลจาก wolframalpha มากกว่าจำนวนประชากรของ 193 ประเทศในโลกนี้ด้วย)

เกมส์ออนไลน์พวกนี้ทำให้คนติดได้ เพราะเล่นฟรี (ถ้าไม่คิดมูลค่าของเวลาเป็นชั่วโมง ๆ ที่หายไปโดยไม่รู้ตัว) เล่นง่ายไม่ต้องใช้สมองอะไรมาก เล่นยังไงไม่มีทางแพ้ เพราะได้แต้ม ได้ของรางวัลฟรีอยู่เรื่อย แถมได้รางวัลจากเล่นเกมกับเพื่อน มีการส่งของขวัญให้เพื่อน และให้เพื่อนส่งของขวัญกลับมาให้เรา เป็นเกมที่เล่นได้ไม่มีวันจบ เพราะบริษัทเกมจะเพิ่ม level ขึ้นไปเรื่อย ๆ

ในแต่ละเกมจะมีแต้มหรือเงินเสมือนที่ใช้ซื้อของต่าง ๆ ในเกมได้ ทำให้ผู้เล่นเลื่อนระดับขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ถ้าใครต้องการเงินเสมือนมากกว่าที่มีอยู่ก็สามารถจ่ายเงินจริง (ผ่านบัตรเครดิต หรือ Paypal) เพื่อซื้อแต้มหรือเงินเสมือนเพิ่มได้ เราไม่เคยคิดจะจ่ายเงินจริงเพื่อเล่นเกม และคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็น่าจะเล่นฟรีเหมือนกัน ก็เลยสงสัยว่าแล้วบริษัทเกมส์จะได้อะไร

เราลองเสิร์ชพี่กูเกิ้ลเล่น ๆ ปรากฏว่าเราคิดผิดถนัด เพราะไปเจอว่าบริษัท Zynga (ผู้ผลิตเกมส์ Mafia Wars,  FarmVille เกมที่ให้คนเข้าไปปลูกผัก เลี้ยงสัตว์, CafeWorld ที่ให้คนเป็นเจ้าของร้านอาหาร ทำอาหารขาย ฯลฯ  ซึ่งเป็นเกมที่ให้เล่นฟรีได้ในเว็บ Social Networking อย่าง facebook, MySpace) คาดว่าปีนี้จะมีรายได้เกิน ๑๐๐ ล้านเหรียญ

แสดงว่ามีคนที่ยอมจ่ายเงินจริง ๆ เพื่อซื้อของปลอม ๆ ในเกม และมีจำนวนมากเสียด้วย...

ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือบริษัท Zynga ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนปี ๒๐๐๗ สามารถทำกำไรได้ภายใน ๓ เดือนหลังจากก่อตั้ง (กันยายน ๒๐๐๗) ในขณะที่เว็บไซท์อย่าง facebook หรือ twitter ปัจจุบันก็ยังหารายได้เป็นกอบเป็นกำไม่ได้

ยอดล่าสุดที่มีรายงานออกมา มีคนเข้าไปเล่นเกมของ Zynga ตามเว็บ Social Networking ทั้งหลายประมาณ ๕.๕ ล้านคนต่อวัน ๓๐-๗๐ ล้านคนต่อเดือน (แต่ละเว็บรายงานตัวเลขไม่เท่ากัน คาดว่าอาจจะเป็นที่ช่วงเวลาที่รายงานด้วย ตัวเลขที่รายงานล่า ๆ สุดน่าจะสูงกว่าตัวเลขเมื่อต้นปี)

Zynga พยายามจะบอกว่าไม่ได้มีรายได้เยอะขนาดนั้น (ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลัวว่าจะมีคนเข้าไปแข่งขันแย่งส่วนแบ่งตลาด) แต่ยังไงรายได้ก็ไม่น่าจะต่ำว่า ๓๐-๕๐ ล้านเหรียญต่อปี กลายเป็นว่าที่พวกเราคิดว่าได้เข้าไปเล่นเกมส์กันฟรี ๆ ที่จริงแล้วกำลังโดนบริษัทเกมส์เล่นพวกเราเข้าให้เต็มเปาซะแล้ว...

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Leadership Training

วันก่อนที่บริษัทจัดคลาส  Leadership Training ไม่ค่อยอยากเข้าเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่เข้าต้องบอกเหตุผลว่าทำไมไม่เข้า (คนที่มาเทรนเป็นฝรั่ง อุตส่าห์บินจากออฟฟิศที่อเมริกามาสอน) ก็เลยต้องตกกระไดพลอยโจนเข้าไป “โดนอบรม” 

เขาสอนเรื่อง Development Style ของลูกน้อง ว่าแบ่งตาม Skill/Knowledge กับ Motivation/Commitment ได้ ๔ ประเภท คือ D1 - Low/High, D2 - Low/Low, D3 - High/Low, D4 - High/High (แปลง่าย ๆ ก็คือ ไม่เก่งแต่ตั้งใจ, ไม่เก่งและไม่ตั้งใจ, เก่งแต่ไม่ตั้งใจ, เก่งและตั้งใจ)

หัวหน้าต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าลูกน้องตัวเองอยู่ในประเภทไหน และเป้าหมายของหัวหน้าคือ ทำให้ลูกน้องเป็น D4 ให้ได้ ลูกน้องที่มักจะล้มเหลวคือพวก D2/D3 ส่วนพวก D1 ถึงจะไม่เก่ง แต่โอกาสล้มเหลวน้อยกว่าเยอะ

เขาบอกว่า อุปสรรคของความสำเร็จในองค์กร ไม่ได้เกิดจากคนไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะทำงาน แต่คนไม่ยอมทำงานเท่าที่มีความรู้ความสามารถ (อืมม์ อันนี้ ฟังแล้วโดนนนน...ไปเต็ม ๆ)

ส่วน Leadership Style คือลักษณะการนำหรือสอนลูกน้อง แบ่งตาม Telling/Directing กับ Questioning/Supporting เป็น ๔ ประเภทเหมือนกัน คือ S1 - High/Low, S2 - High/High, S3 - Low/High, S4 - Low/Low (แปลง่าย ๆ ก็คือ ให้ความรู้แต่ไม่ต้องให้กำลังใจ-แรงจูงใจ, ให้ความรู้และให้กำลังใจ-แรงจูงใจ, ไม่ต้องให้ความรู้แต่ให้กำลังใจหรือแรงจูงใจ, ไม่ต้องให้ความรู้และไม่ต้องไม่ต้องให้กำลังใจ-แรงจูงใจ)

Leadership Style ก็จะแมชท์กับ Development Style พอดี

เขาบอกว่าคนเป็น Leader/Supervisor จำเป็นต้องรู้ว่า เวลาไหนควรจะสอนหรือให้ความรู้กับลูกน้อง (เวลาที่ลูกน้องไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ) แต่ที่สำคัญกว่า คือ ต้องรู้ว่าเวลาไหนที่ควรจะเลิกสอน (เวลาที่ลูกน้องรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว - สอนมาก ๆ ลูกน้องรำคาญ, หรือลูกน้องไม่ได้อยากให้สอน - สอนไปมันก็ไม่ฟัง)

เขาบอกว่าคนทำงานส่วนใหญ่จะเริ่มจาก D1 แล้วพอทำงานมาซักพักหนึ่ง ก็จะเก่งขึ้น (เป็น D4) ถ้าให้ทำงานเดิมซ้ำไปเรื่อย ๆ อาจจะเบื่อ และกลายเป็น D3 ไป บริษัทก็เลยมักจะต้องโปรโมทคนเก่ง ๆ ให้ได้ทำงานตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ๆ

คนนั้นก็จะกลายเป็น D1 อีก (ตื่นเต้นกับตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ๆ แต่ยังไม่มีประสบการณ์ในตำแหน่งนั้น) ถ้าหัวหน้าสอนเขาให้เขามีความรู้มีประสบการณ์มากขึ้น ก็สามารถจะกลายเป็น D4 ในตำแหน่งใหม่ได้ แต่ถ้าหัวหน้าให้ความรู้เขาไม่พอ ก็อาจจะหมดกำลังใจ รู้สึกว่างานยากเกินไป หรือคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ จะกลายเป็น D2 แล้วก็ล้มเหลวหรือเลิกกลางคัน

แต่ถ้าโปรโมทคนไปทำในตำแหน่งที่เขาไม่อยากทำ ก็เท่ากับส่งลูกน้องให้ไปเป็น D2 แบบนี้ก็เจ๊งลูกเดียว!!

ในคลาสมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะแยะ ฟังแล้วก็เพลิน ๆ ดี เห็นบอกว่าเอาเนื้อหาจาก The One Minute Manager มาสอน คนสอนก็ฮาดี ทำให้ไม่ง่วง เสียแต่เราไม่ได้อยากจะลีดใคร ก็เลยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปตามเรื่อง... :P

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สิทธิหรือหน้าที่

วันก่อนอ่านเรื่องเซอร์เอ็ดเวิร์ด ดาวน์ส อดีตวาทยกรของวงบีบีซีฟิลฮาร์โมนิกที่ตัดสินใจให้หมอปลิดชีวิตตัวเองไปพร้อม ๆ กับภรรยาอดีตนักบัลเลต์ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับและตับอ่อน

Euthanasia หรือ Assisted Suicide (การุณยฆาต หรือ การที่แพทย์ช่วยจบชีวิตคนไข้อย่างสงบ) ในประเทศอังกฤษถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย เซอร์ริชาร์ดและภรรยาไปใช้บริการของคลินิก Dignitas ในสวิตเซอร์แลนด์

Euthanasia เป็นเรื่องที่เป็นที่ถกเถียงกันมาก มีแค่ไม่กี่ประเทศที่ทำได้อย่างถูกกฎหมาย เนเธอร์แลนด์ยอมให้แพทย์ช่วยจบชีวิตให้คนไข้ในกรณีที่มีความเจ็บป่วยต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส รัฐโอเรกอนต้องมีแพทย์สองคนให้ความเห็นตรงกันว่าคนไข้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน

กรณีของเซอร์ริชาร์ดเป็นที่ถกเถียงกันมากกว่าปกติ เพราะถึงแม้เซอร์เอ็ดเวิร์ดวัย ๘๕ ปีจะสุขภาพไม่ดีนัก (เริ่มสูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน) แต่ไม่ได้เจ็บป่วยหรือต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายแรงที่ไม่มีทางรักษา

สิ่งที่เซอร์เอ็ดเวิร์ดจะต้องเผชิญ คือความทุกข์ทรมานทางใจที่ต้องมีชีวิตโดยปราศจากคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมานานถึง ๕๔ ปี

หลายคนคิดว่าความทุกข์ทางใจก็ทรมานแสนสาหัสเหมือนกัน (บางคนมองเรื่องนี้เป็นความรักโรแมนติกด้วยซ้ำ) จึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเซอร์เอ็ดเวิร์ด ซึ่งก็หมายความว่าไม่ควรจำกัด Euthansia อยู่แค่กรณีความเจ็บป่วยทางกาย

ฝ่ายสนับสนุน Euthanasia คิดว่าทุกคนควรมีสิทธิ์ในการเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ แต่จากสถิติที่ผ่านมา ๑ ใน ๓ ของเหตุผลที่ผู้ป่วยตัดสินใจเลือก Euthanasia คือ ไม่อยากเป็นภาระกับลูกหลาน คนรัก หรือครอบครัว

คำถามเกิดที่ตามมา (ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน) คือ ถ้า Euthanasia เป็นเรื่องถูกกฏหมายโดยไม่มีข้อจำกัดอย่างที่ใช้ ๆ กัน เวลาที่ผู้ป่วยตัดสินใจเลือก Euthanasia จริง ๆ แล้ว มันเป็นการใช้สิทธิเลือกความตาย หรือเป็นหน้าที่ที่ต้องเลือกความตาย?

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลายมือ

วันก่อนอ่านบทความใน Time ว่าคนที่เกิดหลังปี ๑๙๘๐ แทบจะไม่เขียนภาษาอังกฤษแบบตัวเขียน (Cursive Writing) กันแล้ว เขียนกันแต่ตัวพิมพ์ (Print Writing หรือ Manuscript)

เขาบอกว่าไม่แน่ว่าในอนาคต Cursive อาจจะเหมือนภาษาลาติน คือกลายเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว คนทั่วไปอ่านกันไม่ออก (เขาบอกว่า Declaration of Independence จะกลายเป็นเอกสารที่คนอเมริกันทั่วไปอ่านไม่ออก)

สมัยเด็ก ๆ เราเคยเรียนคัดลายมือตัวเขียนภาษาอังกฤษด้วยปากกาคอแร้ง ต้องจุ่มหมึกยี่ห้อ Pilot เขียนไปก็ต้องมีกระดาษคอยซับน้ำหมึกไม่ให้เลอะ (ต้องเป็นพวกอายุ ๓๐ อัพนะ ถึงจะเคยมีประสบการณ์แบบนี้) เลยลองคว้ากระดาษปากกา มาเขียน A-Z ทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก

ปรากฏว่ามีบางตัวที่ต้องนึกอยู่พักใหญ่ มีขูดขีดฆ่าประมาณเดียวกับลายมือเด็กป. ๑ มีหลาย ๆ ตัวที่จำไม่ได้ว่าเขียนยังไง (เช่น Q หรือ Z) ตัวอักษรตัวใหญ่เขียนยากตัวเล็ก

จะว่าไปไม่ใช่แต่ตัวเขียนภาษาอังกฤษ การเขียนด้วยมือกลายเป็นสิ่งที่เราทำไม่ถนัดไปแล้ว เพราะวัน ๆ ไม่ค่อยได้เขียนอะไร (นอกจากเขียนสลิปฝากเงินธนาคาร จ่าหน้าซองจดหมาย เขียนโน้ตเตือนตัวเอง ซึ่งบางทีก็อ่านด้วยความประหลาดใจว่า ตรูเขียนอะไรไปฟระ)

คนสมัยนี้เขียนน้อยลง ลายมือแย่ลง ก็ต้องโทษคอมพิวเตอร์นี่แหละ ดีไม่ดี ไม่ใช่แต่ภาษาอังกฤษตัวเขียนที่จะตายไป การเขียนด้วยมือในภาษาอื่น ๆ ก็อาจจะตายไปได้เหมือนกันนะ

ข้างล่างนี้เป็นตารางของตัวเขียน A-Z สำหรับคนที่จำไม่ได้ว่าแต่ละตัวขียนยังไงมั่ง เดี๋ยวจะคาใจเหมือนเรา

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

พลังที่เหนือกว่าคำว่า “รัก”

จากคอลันม์ “เมนูข้อมูล” โดย นายดาต้า มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 28 ส.ค. - 3 ก.ย. 2552 ปีที่ 29 ฉบับ 1515

คล้ายว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ปัญหาครอบครัวจะเกิดจากลูก โดยเฉพาะที่เป็นวัยรุ่นคิดว่า พ่อแม่ไม่เข้าใจลูก อยากให้ลูกเป็นเหมือนกับที่พ่อแม่คิด ในขณะที่ลูกต้องการเติบโตไปอีกทาง

ความไม่เข้าใจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิเสธซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดความโกรธ ความน้อยใจ อันจะนำมาซึ่งความเหินห่าง และแยกตัวออกจากกันมากขึ้น

พ่อแม่ยังติดในสังคมเก่า ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง

ขณะที่น้ำเสียงของสังคมเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างความอบอุ่นให้ครอบครัว

แต่เสียงเรียกร้องนั้นดูเหมือนว่าจะมุ่งไปที่การโทษฝ่ายเดียว คือ พ่อ แม่

พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ไม่ทำความเข้าใจลูก ปล่อยให้ลูกขาดความอบอุ่น ขาดความรัก หรือรักลูกไม่ถูกทาง ตามใจไปเสียทุกอย่าง ทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน

เพราะลูกเป็นเด็กจึงได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องถูกสังคมเรียกร้อง

ที่ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสังคมยุคใหม่มีลูกน้อยคน ค่าของลูกจึงท่วมท้น เกินกว่าที่พ่อแม่จะปล่อยให้ลิ้นไรลอบย้ำ ทุกส่ิงทุกอย่างยอมได้เพื่อลูก

นี่เป็นช่องทางให้นักการตลาดแห่งยุคบริโภคนิยมใช้วิธีกระตุ้นความอยากให้เด็ก เพื่อให้เด็กเรียกร้องให้พ่อแม่ซื้อ

สร้างวัตถุนิยมให้เป็นลัทธิครอบงำความคิดเด็ก

ให้อยากได้ไม่รู้จบสิ้น ไม่รู้พื้นฐานของตัวเอง อยากได้เกินฐานะ

ความยากลำบากของพ่อแม่ยุคนี้คือ หาไม่พอให้ลูกใช้

ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับลูก ไม่ใช่ว่าไม่เห็นว่าปล่อยอย่างนี้แล้วลูกเสียหาย

แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ เสียงดังไม่เท่ากับการรุกของนักการตลาดแห่งยุคบริโภคนิยมที่ผ่านมาทางสื่อมวลชนสารพัด

เมื่อเร็ว ๆ นี้ “สวนดุสิตโพล” สำรวจความคิดของแม่ที่มีต่อลูก

ร้อยละ 31.27 บอกว่าเด็กถูกครอบงำด้วยสื่อและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ร้อยละ 25.64 บอกว่าเด็กยุคนี้กล้าแสดงออกมากเกินไป ไม่มีสัมมาคารวะ ก้าวร้าว ใช้คำพูดคำจาไม่เหมาะสม ร้อยละ 19.51 เห็นว่าขาดผู้ใหญ่ชี้แนะ หรือให้ความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่ ร้อยละ 12.32 เห็นว่าเป็นพวกวัตถุนิยม ฟุ้งเฟ้อ ตามเพื่อน ทำตัวตามกระแส ร้อยละ 11.26 เห็นว่าเด็กห่างเหินศีลธรรม ไม่ได้รับการขัดเกลาทางด้านจิต

คนเป็นแม่เข้าใจหมดว่าเกิดอะไรกับลูก

แต่ทั้งที่เข้าใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เสียงของพ่อแม่ดังไม่เท่าเสียงของกระแส

อยากจะบอกลูก แต่ไม่มีวิธีบอกที่ชี้นำความคิดได้เท่ากับนักการตลาดมืออาชีพ

เพราะรักมาก ไม่อยากทำให้ลูกต้องกระทบกระเทือนใจ จึงทำให้ลูกไม่เกรง ไม่กลัว อยากจะได้อะไรก็เรียกร้องเอาโดยไม่ฟัง เหตุที่ขาดสัมมาคารวะก็เพราะรักมาก ไม่กล้าทำโทษเมื่อทำผิด

ที่สุดผลผลิตของยุคนี้ จึงได้เด็กที่ใช้จ่ายตามกระแส เพราะการปลุกเร้าของนักการตลาดมืออาชีพ ที่มีจิตวิทยามวลชนมากกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะสู้ได้

ครอบครัวส่วนใหญ่มีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่ายตามกระแสของลูก

ที่ตามมาคือลูกขาดความนับถือพ่อแม่ เพราะเห็นพ่อแม่ไม่มีปัญญาสนองให้ตัวเท่ากับที่พ่อแม่เพื่อนสนองให้

เด็กที่ไม่มีศีลธรรม และคำสั่งสอนที่ดีเป็นเกราะคุ้มกัน

ทั้งที่เป็นลูกยุคที่พ่อแม่รักดังไข่ในหิน อยากให้เติบโตไปในวิถีที่ดีงาม

กลับเป็นยุคที่ฟอนเฟะที่สุด ลูก ๆ ทำตัวเหลวแหลกให้พ่อแม่ช้ำใจ

ขณะที่สังคมก็ยังก่นประณามพ่อแม่ว่าไม่ให้ความรัก ไม่ให้ความอบอุ่นกับลูก

นักการตลาดเห็นแก่ได้ ที่กระตุ้นให้เด็กอยากได้ไม่รู้จักหยุด กลายเป็นนักการตลาดมือทองที่สังคมปรบมือให้ด้วยความยอมรับนับถือ

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรียนรู้เพิ่มทุกวัน กับการใช้แม็ค (๒)

๑. สลับภาษาอังกฤษ-ไทย

เคยเขียนไปแล้วว่าการเปลี่ยนภาษาอังกฤษเป็นภาษาอื่น บนแม็ค คือกด Apple กับ Space Bar เราว่ามันไม่สะดวกเหมือนในวินโดวส์ที่กดปุ่ม ~ (Grave Accent) ปุ่มเดียว เรารู้สึกว่าตำแหน่งการกดไม่ค่อยถนัดมือเท่าไหร่ด้วย

พอเราใช้แม็คได้ซักพัก ก็ค่อยเรียนรู้ว่าเราเปลี่ยนปุ่ม Default ที่ตั้งมากับเครื่องได้ โดยไปที่ System Preference > Keyboard & Mouse > Keyboard Shortcuts แต่เท่าที่เราทดลองดู ก็พบว่าเราไม่สามารถเซ็ทสลับภาษาไทย-อังกฤษในปุ่มเดียวเหมือนในวินโดวส์ได้

สุดท้ายเราเลยเซ็ทปุ่ม Control + Grave Accent เป็นตัวสลับภาษา แต่ก็สร้างปัญหากับเราเล็กน้อย เพราะนอกจากต้อง "เขย่ง" กด ๒ ปุ่ม ก็ยังสร้างความสับสนให้กับสมองแก่ ๆ ของเรา เพราะเวลาใช้แม็คก็เผลอกดปุ่ม Grave Accent อย่างเดียว เวลาใช้วินโดวส์ก็เผลอกด Control + Grave Accent ต้องตั้งสติดี ๆ

อาทิตย์ก่อนเราซื้อหนังสือ Switching to the Mac มาอ่าน ทำให้ได้เริ่ม "รู้จัก" และ "เรียนรู้" การใช้แม็คแบบมีระบบมากขึ้น ในหนังสือเขาบอกว่าคีย์บอร์ดของแม็คสามารถ Map ไปเป็นตัวสัญลักษณ์พิเศษได้ ขึ้นกับว่าจะเลือกเป็น Mapping อะไร เช่น Symbol, Webding, Winding ซึ่งเราสามารถเปิด Keyboard Viewer ขึ้นมาดูว่าตัวที่สัญลักษณ์ที่เราต้องการพิมพ์ ตรงกับคีย์ไหนบนคีย์บอร์ด

Keyboard Mapping แบบนี้ บนแม็คใช้ได้ทุกโปรแกรม เราไม่แน่ใจว่าบนวินโดวส์มีหรือเปล่า แต่ปกติเวลาเราอยากพิมพ์สัญลักษณ์แปลก ๆ ในวินโดวส์เราต้องอาศัยคำสั่ง Insert Symbol ใน Word แล้วก็อปปี้ไปใส่โปรแกรมอื่น ๆ เช่น Excel (เพราะ Excel ไม่มีคำสั่ง Insert Symbol)

วันนี้เราอยากจะพิมพ์สัญลักษณ์ก็เลยทดลองใช้ Keyboard Viewer ตามที่หนังสือแนะนำ ความรู้ที่ได้โดยบังเอิญจากการทดลองนี้ คือ คีย์บอร์ดภาษาไทยที่เวลาพิมพ์ธรรมดา ก็จะเป็น ฟ ห ก ด ฯลฯ เวลาพิมพ์ตัว "ยกแคร่" ให้ได้ตัว ฤ ฆ ฏ โ ฯลฯ ก็กดปุ่ม Shift (อันนี้เป็นปกติเหมือนกับวินโดวส์ และพิมพ์ดีดทั่วไป)

แต่ใน Mapping ภาษาไทยของแม็ค พอกดปุ่ม Caps Lock คีย์บอร์ดภาษาไทยจะ Map ไปเป็นภาษาอังกฤษทันที (ต่างจากวินโดวส์ที่ กดปุ่ม Caps Lock จะเหมือนกดปุ่ม Shift ค้างไว้ เวลาพิมพ์จะได้ตัวยกแคร่ โดยไม่ต้องยกแคร่) และถ้ากดปุ่ม Shift ก็จะเป็นพิมพ์ตัวยกแคร่ในภาษาอังกฤษ

แบบนี้ทำให้เราสามารถสลับภาษาระหว่างไทย-อังกฤษบนแม็ค ด้วยการกดปุ่มเดียวได้เหมือนบนวินโดวส์แล้ว แถมปุ่มกดใกล้กว่า กดสะดวกกว่าด้วย... เย้.... :)

๒. เซฟไฟล์ Word ใน Pages (หรือเซฟไฟล์ MS Office ใน iWork)

Pages เป็นหนึ่งในโปรแกรมชุด iWork เทียบเท่ากับ Word ในชุด Microsoft Office เราสามารถเปิดไฟล์นามสกุล .doc ใน Pages ได้ แต่เวลาจะเซฟไฟล์ทุกครั้ง จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้ดูว่าจะเซฟเป็นไฟล์ชื่ออะไร ถ้าต้องการเซฟเป็น .doc เหมือนเดิมก็ต้องติ๊กในกล่องที่บอกว่าให้ Save Copy as Word Document

นอกจากนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งกด Save ไป และไม่ได้แก้ไขอะไร แต่เวลาจะปิดไฟล์ ก็จะโดนถามว่าจะเซฟไหมอีกครั้ง เสียเวลาและน่ารำคาญ

เราไปเสิร์ชหาคำตอบจากพี่กูเกิ้ล ได้ความว่าสามารถทำให้ Pages เซฟไฟล์ MS Word ได้เลย โดยไม่ต้องเลือก Save As ทุกครั้ง โดยเข้าไปแก้ไฟล์ Info.plist ของ Pages

หมายเหตุ - เพื่อความปลอดภัย ก่อนการแก้ไข ควรแบ็คอัพ Info.plist ไว้ก่อน

โดยไปที่ Applications > iWork09 > Pages คลิกขวาที่ Pages แล้วเลือก Show Package Contents จะเห็นไฟล์ชื่อ Info.plist ในโฟลด์เดอร์ Content

เปิดไฟล์นี้ด้วยโปรแกรม Properties List Editor (อันนี้เป็นโปรแกรมที่มากับ Apple's developer tools ซึ่งถ้าไม่ได้ลงในเครื่องจะใช้ Text Editor แก้ก็ได้ แต่มันจะซับซ้อนกว่า และใช้คำอธิบายข้างล่างนี้ไม่ได้) โดยคลิกขวาที่ Info.plist แล้วเลือก Open with Properties List Editor

ใน Properties List Editor คลิกรูปสามเหลี่ยมข้างหน้า Root เพื่อแตกรายชื่อออกมา แล้วคลิกรูปสามเหลี่ยมข้างหน้า CFBundleDocumentTypes ก็แตกรายการออกมา จะเห็นตัวเลข 0, 1, 2, ...

คลิกที่รูปสามเหลี่ยมข้างหน้าเลข 8 อันนี้เป็น Properties ของ Word Document จะเห็นบรรทัดที่เขียนว่า CFBundleTypesRole String Viewer เปลี่ยนคำว่า Viewer ให้เป็น Editor

คลิกรูปสามเหลี่ยมหน้าเลข 9 อันนี้เป็น Properties ของ Word 97-2004 Document ก็เปลี่ยน Viewer เป็น Editor เหมือนกัน

แก้แค่ 2 รายการนี้ ก็น่าจะพอสำหรับไฟล์ .doc ทั้งหมด เสร็จแล้วก็แล้วก็เซฟไฟล์

คราวต่อไปที่เปิดไฟล์ .doc ใน Pages ก็สามารถจะเซฟไฟล์ได้อย่างรวดเร็ว

เราได้วิธีการมาจากเว็บนี้ >> Lee Findlow ซึ่งเขา Capture หน้าจอมาให้ดูประกอบด้วย

ด้วยวิธีการคล้าย ๆ กันนี้ ก็สามารถจะเอาไปแก้ Info.Plist ใน Numbers (โปรแกรมที่เทียบเท่ากับ MS Excel) เพื่อให้เซฟไฟล์ .xls ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วได้เช่นกัน

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เวลาของผู้ซื้อ

ไทม์ฉบับล่าสุดมีบทความเรื่องวิธีรัดเข็มขัดสู้เศรษฐกิจ เขาบอกว่าในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ ใคร ๆ ก็หันมาต่อรองราคากันหมด ไม่ต้องสนใจแล้วว่าจะเป็นร้านค้าอะไร ใหญ่เล็กแค่ไหน ขอให้กล้าต่อรองหรือเรียกร้องเข้าไว้ คนขายกำลังจนตรอกก็ยอมในเรื่องที่ไม่เคยยอม

เขายกตัวอย่างคนที่เข้าไปซื้อของแล้วได้ลดราคาเพราะกล้าต่อรองราคา มีตั้งแต่เครื่องตัดหญ้า รองเท้าผ้าใบ นาฬิกาแบบสปอร์ต เครื่องประดับ ไปจนถึงของกิน

คนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยต่อรองราคาอาจจะรู้สึกขัดเขินหรือไม่กล้า แต่พอได้ลองดูแล้วก็จะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร และแถมออกจะรู้สึกว่าน่าสนุกด้วยซ้ำ (ก็ประหยัดเงินได้นี่นา)

สำหรับมือใหม่หัดต่อฯ ไทม์มี instruction ให้ด้วย คือให้พิมพ์โฆษณาของชนิดเดียวกันที่ร้านอื่นหรือในอินเทอร์เน็ตขายถูกกว่า แล้วเอาไปโชว์ให้ที่ร้านที่เราจะซื้อ ขอให้เขาขายในราคาเดียวกัน ถ้าพนักงานขายไม่ยอมหรือไม่สนใจ ให้ขอคุยกับผู้จัดการ ส่วนใหญ่ผู้จัดการจะมีอำนาจตัดสินใจมากกว่า และมักจะยอมลดราคาให้ลูกค้า ถ้าเห็นว่าลูกค้าตั้งใจจะซื้อของแน่ ๆ แต่พร้อมที่จะเดินออกไปซื้อร้านอื่น

วิธีที่เขาแนะนำ ไม่รู้ว่าเอามาใช้ที่เมืองไทยจะเวิร์คหรือเปล่า แต่เท่าที่เราสังเกตเห็น คนที่มีกำลังซื้อในเมืองไทยตอนนี้ ทั้งสินค้าและบริการ มีโปรโมชั่นลดราคา มีของแถม ออกมาเรื่อย ๆ ถึงต่อรองไม่เก่งแต่ถ้ารอจังหวะดี ๆ ก็จะได้ของที่คุ้มราคากว่าตอนเศรษฐกิจดี ๆ เยอะเลย

หลังจากอ่านบทความในไทม์ไป วันนี้น้องที่ออฟฟิศเพิ่งได้ลูกสาว เราก็เลยไปซื้อพระเล็ก ๆ ให้เป็นของขวัญ เราเคยไปซื้อที่ร้านนี้หลายครั้งแล้ว ไม่เคยต่อรองราคา เขาบอกราคามาเท่าไหร่ เราก็แค่ถาม (พอเป็นธรรมเนียม) ว่าลดราคาได้ไหม เขาก็จะลดเศษให้ (พอเป็นธรรมเนียมเช่นกัน) ก็เป็นการปิดการขาย

วันนี้เรานึกยังไงไม่รู้ พอเขาลดเศษให้ (ตามธรรมเนียม) เราถามว่าลดอีกไม่ได้เหรอ เขาก็เฉย ๆ เราก็เลยลองต่อราคาดู ทั้งที่ใจก็คิดว่า ถึงไม่ลดราคาให้เราก็ซื้ออยู่ดี ปรากฏว่าผิดคาด คือเขายอมลดราคาให้ (แต่พนักงานแปลกมากเลย พอเขายอมลดราคาให้เรา สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียทันที แถมไม่ยอมเอาถุงให้เราด้วย งงจริง ๆ)

สรุปว่า เป็นแบบที่ในไทม์บอก คือ ในจังหวะนี้ การต่อรองราคาไม่ใช่เรื่องของโชค บางทีแค่เอ่ยปากก็สำเร็จแล้ว... (คนไม่มีทักษะในการต่อรองราคาอย่างเรายังทำได้เลย ฮ่า ๆ )

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไข่ปลอมจากจีน - อิทธิพลของอินเทอร์เน็ต กับ จรรยาบรรณของสื่อ

วันนี้ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งของนสพ.ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยเป็นข่าวเกี่ยวกับไข่ปลอมที่ระบาดในเมืองจีน เราไม่ได้อ่านข่าวนี้ แต่ฟังทางวิทยุตอนขับรถมาทำงานตอนเช้า ได้ยินปุ๊บก็ร้อง ฮ้า!! อยู่ในใจ ทำไข่ปลอมขายเนี่ยนะ... (พอดีขับรถอยู่คนเดียวอ่ะนะ จะร้องฮ้า!! ดัง ๆ ก็ไม่รู้จะร้องให้ใครฟัง แค่ร้องในใจก็พอแล้ว อิอิ)

เราเข้าใจได้ว่าเมืองจีนชอบทำของปลอมออกมาขาย ทำของแบรนด์เนม อิเล็คทรอนิกส์ต่าง ๆ ปลอมก็มีเหตุผลดี เพราะของจริงราคาแพงเพราะค่าแบรนด์หรือค่าดีไซน์ ต้นทุนที่เป็นวัตถุดิบไม่แพง คนจีนทำปลอมมาขายก็ได้กำไรดี แต่ไข่เป็นสินค้าเกษตร ราคาขายปกติก็ไม่ได้แพงอยู่แล้ว จะปลอมไปทำเบื๊อกอะไร?

ฟังแล้วเราไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าเห็นเรื่องนี้ทางอินเทอร์เน็ต เราก็ฟันธงไปเลยว่านี่มัน hoax (เรื่องโกหกชัด ๆ) แต่พอนสพ.ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยเอามาลงข่าวหน้าหนึ่ง เราก็ต้องหาข้อมูลซะหน่อย เครื่องมือในการตามล่าหาความจริงของเราก็คืออินเทอร์เน็ตกับพี่กูเกิ้ลนั่นแหละ

เราเจอว่าข่าวคล้าย ๆ กันนี้ เป็นข่าวที่ลงในเว็บข่าวของสนุก (Sanook!) ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๐ ก.ค. โดยอ้างข้อมูลจาก The Standard (www.thestandard.com.hk) กับ China.org.cn

เราตามลิงก์ไปที่ The Standard ก็เจอว่าเขาลงเรื่องนี้ตั้งแต่ ๑๗ ก.พ. ๒๐๐๙ ส่วน China.org.cn อ้างไปถึงข่าววันที่ ๒๔ ก.พ. ๒๐๐๙ ของ Xinhua News Agency สาวไปได้แค่นี้ก็ต้องหยุด เพราะไม่มีแหล่งอ้างอิงอะไรเพิ่มเติม เพราะเขาก็อ้างกันไปอ้างกันมาวนเวียนกันอยู่อย่างนั้น

เราไม่สามารถหาอะไรมาหักล้างได้เต็ม ๆ ว่าข่าวนี้เป็นเรื่องโกหก แต่เว็บข่าวของจีน ๓-๔ แห่งนั่นก็ไม่ทำให้เรารู้สึกเชื่อได้สนิทใจว่าเป็นข่าวจริง ที่สุดท้ายเราขอฟันธงว่านี่เป็นเรื่องโกหก เพราะ

๑. ข่าวนี้เอามาจากเว็บจีนตั้งแต่เดือน ก.พ. ทำไมใช้เวลาตั้ง ๖ เดือนถึงมาดังในเมืองไทย

๒. ในข่าวจากนสพ.เขาบอกว่าต้นทุนไข่ปลอมแค่ไม่ถึง ๒๐ สตางค์ แต่ราคาขายประมาณ ๑-๑.๒ บาท โอ้ว... กำไรตั้งฟองละบาท โอเคคิดว่าเมืองจีนมีประชากรเยอะ การบริโภคไข่ก็น่าจะเยอะกว่าไทย แต่ต้องขายซักกี่ฟองดีล่ะถึงจะคุ้มค่าปลอมไข่ พันฟอง หมื่นฟอง แสนฟอง? เราดูวิธีการทำไข่ปลอม (ที่ในข่าวเขาบอกว่ามีให้ดูเกลื่อนอินเทอร์เน็ต) มันเสียเวลาและแรงงานน่าดู กว่าจะได้ไข่ไก่ปลอมซัก ๑ ฟอง

๓. เราเสิร์ชเจอว่า ฟอร์เวิร์ดเมลเรื่องการทำไข่ปลอมในเมืองจีนเป็นเรื่องโกหก!!! โดยข่าวลือเกี่ยวกับไข่ปลอมทำนองนี้เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งกะปี ๒๐๐๔ โดยอ้างจากสำนักข่าวซินหัว ซึ่งตอนนั้นเขาบอกว่าถ้าเอาไข่ไปปรุงก็จะรู้ทันทีว่าเป็นไข่ปลอม แต่ฟอร์เวิร์ดเมลเวอร์ชั่นหลัง ๆ ไข่ปลอมก็พัฒนาขึ้น จนใกล้เคียงกับไข่จริงมากจนกระทั่งกินเข้าไปแล้วก็ยังแยกแทบไม่ออก (ไข่ปลอมพัฒนา หรือข่าวโกหกพัฒนา??)

เราได้บทเรียนอะไรจากข่าวนี้?? ก็จากชื่อหัวข้อนั่นเลย... สมัยนี้อินเทอร์เน็ตมีอิทธิพลมาก มากขนาดสามารถวิวัฒนาการวิธีปลอมไข่ให้ก้าวหน้ามากขึ้น เอ้ย... มากขนาดทำให้คนเชื่อเรื่องอะไรต่ออะไรโดยไม่ใช้การวิเคราะห์ ทั้งที่หลาย ๆ เรื่องมันไร้ความน่าเชื่อถือสิ้นดี

นอกจากนี้สื่อมวลชนก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย เพราะสามารถจะนำเสนอข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องพินิจพิเคราะห์ ไม่ต้องตรวจสอบความถูกต้อง ไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม เป็นผู้ที่สามารถใช้ความสามารถของอินเทอร์เน็ตและคำสั่ง copy & paste ได้เต็มศักยภาพ (แต่ไร้ประสิทธิภาพ ไร้คุณภาพ และไร้ความรับผิดชอบ) ที่สุด

นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่สื่อมวลชนกระแสหลักถูกข่าวโกหกจากอินเทอร์เน็ต หลอกให้เชื่อจนเสียเครดิต (เอ... แต่ที่จริงเขามีเครดิตกันด้วยเหรอฮะ???) ที่เราจำได้แม่น ๆ ก็ตอนที่รายการทีวีตอนเช้าที่มีสาว ๆ หลาย ๆ คนมาเล่าเรื่องมีสาระบ้างไร้สาระบ้างให้คนฟัง ก็เคยพลาดท่าประกาศว่า ขวดใส่น้ำที่ทำด้วยพลาสติกเพ็ท เอามาใช้ซ้ำ ๆ แล้วจะทำให้เป็นมะเร็ง พูดกันซะจนคนกลัวขี้หดตดหาย ต้องวิ่งแจ้นไปซื้อขวดพลาสติกอย่างอื่นมาใส่น้ำแทน (เอ... แล้วพลาสติกแบบอื่น มันไม่เป็นมะเร็งหรือไง?) สุดท้ายต้องมีคุณหมอมาเตือนสติว่า เรื่องจริงมันคืออะไร

สรุปว่าอย่าคิดว่า อินเทอร์เน็ตคือพระเจ้า และอย่าคิดว่าสื่อมวลชนจะเชื่อถือได้... สุดท้ายแล้วที่พึ่งได้ที่สุด ก็คือ สติและปัญญาของตัวเราเอง

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สนามบินดีที่สุดในโลกประจำปี ๒๐๐๙

เมื่อเดือนที่แล้วเราฟังรายการวิทยุช่อง ๑๐๖ ที่แอนดรู บิ๊กส์จัดกับกฤษณะ ช่วงสองทุ่มกว่า ๆ แอนดรูเล่าเรื่องการจัดอันดับสนามบินที่ดีที่สุดในโลกของ SkyTrax ปี ๒๐๐๙ อันดับ ๑-๓ เป็นสนามบินของเอเชีย (คือ อินชอน ของเกาหลี, เช็คแล้ปก๊อก ของฮ่องกง, และชางงี ของสิงคโปร์, ตามลำดับ)

ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิไม่ติดท็อปเทน (สกายแทร็กซ์จัดให้สุวรรณภูมิเป็นสนามบิน ๓ ดาว ในขณะที่สนามบินท็อปเท็นได้ ๔-๕ ดาว) อยากรู้รายละเอียดว่าเขาจัดอันดับจากอะไร ก็คงต้องไปหาข้อมูลจากสกายแทร็กซ์เอา แต่จากความเห็นของเรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมสนามบินสุวรรณภูมิจะไม่ติดอันดับ

๑. ห้องโถงด้านนอก บริเวณเช็คอิน เข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนไปสถานีขนส่งหมอชิต คนเยอะมาก เก้าอี้นั่งน้อย เก้าอี้ก็นั่งไม่สบายเอามาก ๆ เป็นเหล็กแข็ง ๆ เย็น ๆ สังเกตว่า หลัง ๆ นี้เขาเอาเบาะมาใส่ คงจะให้นั่งสบายขึ้น แต่ขอโทษเหอะ look cheap อ่ะ

๒. ห้องน้ำมีน้อยจุด และแต่ละจุดมีน้อยห้อง เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่พบเจอห้องน้ำ ถึงแม้ปวดแค่นิดหน่อยก็ให้เข้าไปก่อน เพราะไม่รู้ว่าระหว่างการเดินทางข้างหน้า จะมีห้องน้ำหรือเปล่า

๓. ที่บอกว่าระหว่างการเดินทางในข้อสอง ไม่ได้หมายถึงการเดินทางบนเครื่องบิน แต่หมายถึงการเดินทางจากเคาน์เตอร์เช็คอิน ผ่านตม. (หรือจุดตรวจความปลอดภัยในกรณีเดินทางในประเทศ) ไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบิน ถ้าคนเคยเดินจากตรงกลางสุด ไปขึ้นเครื่องที่ประตูท้าย ๆ สุดของสนามบิน แล้วก็จะเข้าใจว่าทำไมสายการบินนกแอร์เอาเรื่องขึ้นเครื่องบินที่ดอนเมืองไม่ต้องเดินไกล มาเป็นจุดขาย (ระยะทางเกิน ๑ กม.)

๔. แท็กซี่ มีคนบ่นว่าที่ดอนเมืองมีมาเฟียแท็กซี่ แต่ที่สุวรรณภูมิไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แท็กซี่ป้ายดำสามารถเข้ามาจนเกือบจะถึงสายพานรับกระเป๋าเลยมั้ง แถมเมื่อช่วงปีที่แล้ว เราเจอว่าผู้โดยสารปกติไม่สามารถขึ้นลิฟท์หรือใช้บันไดเลือนจากชั้นอื่น ๆ ไปชั้นผู้โดยสารขาออกได้ ถ้าไม่โชว์พาสปอร์ตว่าเป็นผู้โดยสารจริง ๆ สอบถามไปมา ได้ความว่า เขาป้องกันแท็กซี่ป้ายดำจะมาจอดรถที่ชั้นอื่น ๆ แล้วลงลิฟท์หรือขึ้นบันไดเลื่อนไปดักรับผู้โดยสาร โอ้แม่เจ้า... จะป้องกันโจรเข้าไปขโมยของในบ้าน ก็ล็อกประตูบ้านแล้วเจ้าของบ้านเองก็เข้าบ้านไม่ได้ด้วย

๕. ความสะอาดยังต้องปรับปรุงอีกมาก เคาน์เตอร์บริการยังเห็นฝุ่นจับหนาตึ้บ ตามทางเดินยังเห็นเศษขยะ ความที่สถาปนิกเขาออกแบบให้เป็นปูนเปลือย (ที่ทำไม่เรียบร้อยซะด้วย) พอไม่ได้รักษาความสะอาดให้เนี้ยบ ๆ ดูแล้วรู้สึกเหมือนยังก่อสร้างไม่เสร็จ หรือสร้างมานานจนใกล้พังแล้วมากกว่า

๖. ดิวตี้ฟรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฟังดูน่าจะเป็นข้อดีไม่ใช่เหรอ แต่อันนี้เป็นคอมเมนต์จากฝรั่งที่เราไปอ่านเจอ เขาบ่นกันว่า เพราะเราดันออกแบบให้มีดิวตี้ฟรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เขาประชดนะ) อยู่ระหว่างตม. กับประตูขึ้นเครื่อง เวลาจะไปขึ้นเครื่องที ก็เหมือนต้อง "ข้ามมหาสมุทรของร้านค้าดิวตี้ฟรี" (ที่ดูราคาแล้วก็ไม่ใช่ว่าดิวตี้ฟรีเท่าไหร่ด้วย) อันนี้ทำให้ไพล่ไปนึกถึงข้อกล่าวหาเรื่องสนามบินเอื้อประโยชน์ให้คิงพาวเวอร์มากเกินอีกแน่ะ


รูปข้างบนนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสนามบิน แต่พอดีไปเจอในเว็บโดยบังเอิญ เคยได้ยินพวกฝรั่งออกเสียงภูเก็ตว่า ฟูเก็ต แล้วมีบางคนล้อว่าออกเสียงว่า f*** it ด้วย โฆษณานี้เขาเอาจริงเลยแฮะ อิอิ

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Windows 7 Background ฝีมือคนไทย...

ตอนนี้ OS ฝั่ง Microsoft ของเราหยุดอยู่ที่ Win XP เพราะเครื่องคอมบริษัทใช้มาตั้งแต่แรก ๆ แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนจนทุกวันนี้ (เครื่องเปลี่ยน แต่ OS ไม่เปลี่ยน และเราคาดว่าบริษัทคงจะเก็บ XP เอาไว้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเศรษฐกิจห่วยขนาดนี้ ต้องรัดเข็มขัดทุกอย่าง)

เราว่า XP ก็ใช้งานได้น่าพอใจ เราไม่ได้ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ จนกระทั่งได้ Sony Vaio เครื่องเก่าที่พี่สาวเรายกให้ (เป็นของแถมที่มาพร้อมกับแม็คบุคร์แอร์ที่ใช้อยู่ตอนนี้) เลยได้ลองใช้ Vista บ้างนิดหน่อย ไม่ได้ใช้มากจนคุ้นมือ พอที่จะตัดสินได้ว่ามันห่วยเหมือนอย่างที่คนบ่นกันตึมหรือเปล่า

แต่คาดว่าคงห่วยจริง เพราะได้ข่าวมาว่า Microsoft จะออก Windows 7 แล้ว หลังจาก Vista ออกมาไม่ถึง ๓ ปี (ในขณะที่ Vista ออกหลังจาก XP ประมาณ ๕ ปี)

ความจริงข่าว Microsoft จะออก OS เวอร์ชั่นใหม่นี่น่าจะล้าสมัยไปหลายเดือนแล้ว (ถึงแม้ว่า Windows 7 จะยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการจนกว่าจะเดือนตุลาคมก็ตาม) แต่ที่จะเล่านี่ไม่ค่อยเกี่ยวกับฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ของ Windows 7 เท่าไหร่ เกี่ยวกับ Background (หรือ Wallpaper) ของ Windows 7 ต่างหาก

เขาบอกว่าคราวนี้ Microsoft ต้องการจะออกแบบ Windows ให้สวยงามมีเอกลักษณ์ ไม่น้อยหน้า Mac OS แล้วก็ต้องการจะแสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับหลากหลายชนชาติ ก็เลยจ้าง Illustrator มืออาชีพจากหลากหลายประเทศมาออกแบบ Background ให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้ตามรสนิยม

หนึ่งใน Background ของ Windows 7 ออกแบบโดย Illustrator ชาวไทย (รูปข้างล่าง) ชื่อ Pomme Chan (ควรจะอ่านว่าอะไร หรือเขียนเป็นภาษาไทยว่าไง เราไม่รู้แฮะ)


เท่าที่เราอ่านประวัติจากเว็บ คุณ Pomme เกิดและโตในไทย เรียนจบศิลปากร และทำงานเป็นนักออกแบบกราฟฟิกให้บริษัทโฆษณาในกรุงเทพฯ ก่อนจะย้ายไปอยู่ลอนดอน

ปัจจุบันทำงานเป็น Art Director และ Illustrator ให้กับนิตยสาร หนังสือพิมพ์ และสินค้าต่าง ๆ เยอะแยะ ดูจากรายชื่อและผลงานที่จัดแสดง คุณ Pomme จัดว่ามีชื่อเสียงในระดับนานาชาติเลย มีตัวแทนอยู่ในหลาย ๆ ประเทศทั้งยุโรปและอเมริกา แต่คนไทยไม่ยักกะรู้จัก (อย่างน้อยเราไม่รู้จัก คนอื่นในแวดวงโฆษณาหรือนักออกแบบอาจจะรู้จัก)

อดรู้สึกภูมิใจหน่อย ๆ ไม่ได้ ที่ผลงานของคนไทย จะได้เป็นหนึ่งใน Background ที่จะมีคนหลายล้านทั่วโลกได้เลือกใช้ (คนไทย อยู่เดี่ยว ๆ จะเก่งสุดยอด แต่พอรวมกันทีไร ก็ทะเลาะกันจนเสียเรื่องทุกที -_-')

ดูรายละเอียดภาพ background จาก Illustrator คนอื่น ๆ ไปที่นี่
ดูผลงานของคุณ Pomme Chan ไปที่นี่

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ถึงโดนฟ้อง ก็ไม่กลัว?

ปลายอาทิตย์ก่อนมีข่าวดาราฮอลลีวู้ดมาเสียชีวิตที่โรงแรมหรูในกทม. ด้วยลักษณะที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ข่าวในนสพ.ที่เคลมว่ามียอดขายอันดับหนึ่งเขียนบรรยายสภาพของผู้เสียชีวิตอย่างละเอียดลออ จนเรานึกสงสัยว่าน่าจะโดนฟ้อง...

นึกไว้ยังไม่ทันขาดคำ (เป็นความคิด ใช้ว่า ยังไม่ทันขาดคำ ได้ไหมเนี่ย? อิอิ) ก็มีข่าวว่าญาติของดาราจะฟ้องนสพ. ไทยที่ลงรูปหรือลงข่าวไปในทางสร้างความเสื่อมเสียให้กับผู้เสียชีวิต ซึ่งเราเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะเราเคยเขียนด่าเรื่องการนำเสนอข่าวของนสพ. ไทยในทำนองนี้เอาไว้ในเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เราอยากให้ญาติดาราฮอลลีวู้ดชนะคดีด้วย จะได้เป็นคดีตัวอย่างให้คนอื่น ๆ กล้าฟ้องมั่ง

แน่นอนว่าเรื่องแย่ ๆ เรื่องความเสียหาย “ของคนอื่น” มักเป็นเรื่องที่คนอยากรู้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เวลามีรถชนกัน บริเวณเกิดเหตุรถจะติดหนักสาหัส ไม่ใช่เพราะต้องหลบรถที่ชนกันอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคนที่ขับรถผ่านไปมา ส่วนใหญ่ชลอดูว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งอุบัติเหตุหนัก ๆ รถพังยับเยิน ยิ่งดึงดูดความสนใจให้มองนาน ๆ (+ใช้เวลาวิเคราะห์วิจารณ์อยู่ในใจหรือออกเสียงกับเพื่อนร่วมเดินทาง)

แต่ความอยากรู้เรื่องของคนอื่นของคนทั่วไป ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่นสพ.หรือสื่อมวลชนจะเอามาใช้ ในการเผยแพร่ต่าง ๆ อย่างไร้จิตสำนึกและจรรยาบรรณ

นี่ขนาดญาติของดาราฮอลลีวู้ดบอกว่าจะฟ้องแล้ว แต่วันนี้นสพ.ที่เคลมว่าขายดีอันดับหนึ่งของประเทศก็ยังเอาข่าวนี้เป็นข่าวหลักพาดหัว (โดยที่เนื้อข่าวก็ไม่พูดถึงเรื่องที่จะโดนฟ้องด้วย) เราว่าเขาคงไม่แคร์ ตราบเท่าที่คนอ่านส่วนใหญ่ยังชอบเสพย์ข่าวแบบนี้ (และข่าวชาวบ้านแห่ขอหวยลูกหมูสองเพศ, ลูกกระบือสองหัว, ปลาไหลทอง, เห็ดยักษ์ ๑ เมตร ฯลฯ) และคนอีกส่วนหนึ่ง (ซึ่งเราอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) ก็ทนเสพย์ต่อไป โดยที่ไม่ทำอะไรจริง ๆ จัง ๆ ซักที (นอกจากบ่น ๆๆ)

ในกรณีดาราฮอลลีวู้ดนี้ (หรืออาจจะมีกรณีอื่น ๆ ด้วย) เราว่าตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องก็มีส่วนผิด ที่ปล่อยให้สื่อมวลชนเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุได้ง่าย ๆ แถมสามารถถ่ายรูปและเอาข้อมูลรายละเอียดออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนได้อีกตะหาก

ลองนึกถึงซีรีส์ฝรั่ง CSI สถานที่เกิดเหตุโดนกันไว้หมด ให้เข้าไปได้เฉพาะเจ้าหน้าที่เท่านั้น ข้อมูลที่เกี่ยวกับคดีก็เอามาเปิดเผยได้แค่เท่าที่จำเป็นหรือเท่าที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แต่นสพ.ไทยเข้าไปถึงสถานที่เกิดเหตุได้ขนาดนี้ ถ้าเป็น CSI เขาจะบอกว่าหลักฐานที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุอาจจะเอามาใช้ในทางคดีไม่ได้เพราะโดนรบกวนจากคนภายนอกไปแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

จบชีวิตผู้บริจาคโลหิตสภากาชาดไทย

คราวก่อนที่เขียน ชักชวนให้ไปบริจาคเลือด เราเล่าว่าบริจาคเลือดมายี่สิบกว่าครั้งแล้ว ผ่านมาเกือบสองปี เราเพิ่งบริจาคเพิ่มได้แค่ครั้งเดียว เพราะหลัง ๆ นี้ ไปบริจาคแล้วตรวจความเข้มข้นเลือดไม่ผ่าน

เจ้าหน้าที่ก็ให้ยาบำรุงเลือดมากิน คนทั่วไปเขาให้กินวันละเม็ด แต่ของเราเขาบอกให้เรากินเช้าเย็น คนอื่น ๆ ที่บริจาคเลือดแล้ว เขาไม่กินยาบำรุงเพราะเลือดเข้มข้นดี เขาก็เอายามาให้เรากิน เรากินจนหมด ไปตรวจใหม่ก็ยังไม่ผ่าน

ความจริงก็คือ เม็ดเลือดเราเล็กผิดปกติ มีฮีโมโกลบินต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ตอนตรวจสุขภาพประจำปีทีไร เรื่องความเข้มข้นของเลือดก็จะเป็นเรื่องที่หมอทักอยู่ทุกปี เมื่อสองปีที่แล้วเราก็เลยลองตรวจดูว่าเป็นธาลัสซีเมียหรือเปล่า ตรวจแล้วก็ได้ผลแค่ว่าเราน่าจะเป็นแค่พาหะ ไม่ต้องทำอะไร แค่ให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กเยอะ ๆ ก็พอ

ความจริงก็น่าสงสัยว่าโรคอย่างธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรม ก็ต้องเป็นมาแต่กำเนิด ทำไมสมัยก่อนเราถึงบริจาคเลือดได้ทุกสามเดือนไม่มีปัญหาอะไร เราเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องของ “วัย” :P สมัยเด็ก ๆ ร่างกายยังสดใหม่ ผลิตเม็ดเลือดได้มีคุณภาพกว่า พอสมัยนี้ก็... เป็นไปตามวัยอ่ะนะ -_-” แต่ถ้าเราออกกำลังบ่อย ๆ ร่างกายฟิต ๆ กินยาบำรุงเลือดเสริมเข้าไป ไปตรวจเลือดก็จะได้พอดีเกณฑ์ที่เขารับบริจาคพอดี

อีกอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นที่การตรวจความเข้มข้นเลือดของสภากาชาดเปลี่ยนไป เมื่อก่อนใช้วิธีเอาเลือดหยดในสารละลาย แล้วดูว่าเลือดจมได้เร็วหรือช้า ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของคนตรวจ บางทีเขาก็หยวน ๆ เอา แต่สมัยนี้เปลี่ยนเป็นตรวจโดยใช้กระดาษแล้วเทียบสี ถ้าคนที่ดูแล้วน่าสงสัยว่าเลือดจาง ก็จะตรวจด้วยเครื่องซ้ำอีกที พอตรวจได้แม่นยำขึ้น เราก็เลยตรวจไม่ผ่านอยู่เรื่อย

เมื่อวานนี้เราไปบริจาคเลือดที่สภากาชาด ตั้งใจมาก ๆ เพราะกินยาธาตุเหล็กวันละ ๓-๔ เวลา (เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน) มาเป็นเดือน ๆ ปรากฏว่าไปถึงแล้วบริจาคไม่ได้ ยังไม่ทันได้ตรวจความเข้มข้นของเลือดด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้สภากาชาดเพิ่มกฎเกณฑ์ใหม่เข้าไป คือจะต้องไม่เคยรับเลือดหรืออยู่ในประเทศอังกฤษเกิน ๖ เดือนในช่วงปี ๒๕๒๓-๒๕๓๙ เราไปเรียนปี ๙๓-๙๔ ก็ตกอยู่ในช่วงนั้นพอดี

เขาก็บอกว่าเราบริจาคเลือดไม่ได้ เราก็อึ้งไปเล็กน้อย ถามว่าไม่ได้ไปตลอดเลยเหรอ เขาก็บอกว่าใช่ ไม่มีวิธีที่เราจะกลับมาบริจาคได้อีกเหรอ เขาบอกว่าไม่มี ถ้าอยากช่วยก็คงต้องเป็นการบริจาคเงินแทน เขาเพิ่งออกกฏใหม่ข้อนี้เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่โรควัวบ้าระบาด เป็นกฏใหม่ที่เพิ่งใช้เมื่อเดือนเมษายนปีนี้เอง

เราขับรถกลับมาบ้านก็ยังคาใจว่า มันบริจาคไม่ได้ไปตลอดจริง ๆ เหรอ มันไม่มีวิธีตรวจเพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้รับเชื้อมาหรือไง พอกลับมาก็เลยมาลองปรึกษาพี่กูเกิ้ลดู พี่กูเกิ้ลพาไปที่ redcross.org เขาบอกว่าเคยมีกรณีคนป่วยเป็นโรควัวบ้าเพราะได้รับเชื้อจากการบริจาคเลือด และในขณะนี้ยังไม่มีวิธีตรวจเลือดในคนที่จะดูว่ามีเชื้อหรือไม่ เลยต้องงดรับบริจาคโลหิตจากคนที่มีโอกาสจะติดเชื้อนี้ไปก่อน (ในอเมริกามีกฎเกณฑ์ห้ามมากว่าเมืองไทยหลายข้อ) ก็เลยเป็นการคอนเฟิร์มว่าเราจบชีวิตการเป็นผู้บริจาคโลหิตสภากาชาดไทยซะแล้ว จากนี้ไปเป็นได้แค่ผู้บริจาคเงินเท่านั้น...

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

ยิ่งสะดวก ยิ่งโง่

วันนี้ไปจ่ายเงินบัตรเครดิต SCBT ที่เคาน์เตอร์ธนาคาร SCIB เพราะบัตรเครดิตโทรมาบอกว่าตัดเงินจากบัญชีไม่ได้ เราก็งง ๆ เพราะในบัญชีควรจะมีเงินพอ เงินเดือนก็เพิ่งเข้า แถมเราเพิ่งขายกองทุนด้วย (กะจะเอาไปซื้อหุ้นกู้ PTTAR แต่ซื้อไม่ทัน) เรานึกว่าเงินกองทุนอาจจะเข้าตอนบ่าย แล้วบัตรเครดิตไปทำรายการตัดตั้งแต่ตอนเช้า ก็เลยตัดไม่ได้ (ความจริงเรื่องนี้มาคิดตอนหลังแล้วยังคิดไม่ออกว่า เงินตูหายไปไหนฟระ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ใครคิดออกช่วยบอกที)

เราถามเจ้าหน้าที่ว่า ทำเรื่องตัดบัญชีอีกรอบหนึ่งตอนนี้ได้ไหม เรามั่นใจว่ามีเงินในบัญชีพอ แล้วเราก็ไม่สะดวกจะไปจ่ายที่เคาน์เตอร์วันนี้ เขาบอกว่าไม่ได้ เพราะการตัดบัญชีจะทำอัตโนมัติเดือนละครั้ง ถ้าเราไม่สะดวกจะไปวันนี้ เขาอนุโลมให้ไปจ่ายได้ถึงวันจันทร์ แต่ต้องไปที่ธนาคาร SCBT ถ้าจะจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารอื่น ต้องไปภายในวันนี้

เราไม่สะดวกจะไปธนาคาร SCBT อีกเหมือนกัน จะไปจ่ายที่ธนาคารอื่น เขาแนะนำว่าที่ค่าธรรมเนียมถูก ๆ มี SCIB กับธนชาติ เราไม่มีสเตทเมนต์ ก็เลยขอให้เขาแฟ็กซ์ใบจ่ายเงินมาให้ กรอกเลขที่บัตร กรอกจำนวนเงินเสร็จก็เอาไปที่ธนาคาร SCIB พนักงานเห็นใบจ่ายเงินเรา ก็ถามว่า ไม่มีสเตทเมนต์แบบที่มีบาร์โค้ดเหรอคะ เราบอกว่าไม่มี เขาบอกว่าต้องมีสเตทเมนต์แบบที่มีบาร์โค้ด เราก็ถามว่า อ้าว... ก็นี่เป็นใบจ่ายเงินที่บัตรเครดิตส่งมาให้ ทำไมใช้ไม่ได้ล่ะ

เขาหันไปถามเจ้าหน้าที่อีกคนที่ดูอาวุโสกว่าว่า พี่คะไม่มีบาร์โค้ดแบบนี้ จะจ่ายเงินได้เหรอคะ เจ้าหน้าที่คนที่ถูกถามก็ตอบว่า ปกติจะไม่ยอมรับจ่าย เพราะเป็นบัตรของธนาคารอื่น เช็ครายการออนไลน์ไม่ได้ จะยอมรับทำรายการให้ก็ได้ แต่ถ้าเข้าผิดบัญชี จะทำเรื่องคืนไม่ได้ ทางที่ดีไปเอาสเตทเมนต์ที่มีบาร์โค้ดมาดีกว่า

เขาก็หันมาบอกว่า รับชำระไม่ได้ค่ะ ต้องเป็นใบที่มีบาร์โค้ด เราทำใจเย็น ๆ แล้วถามว่า อ้าว... แล้วในใบนี้มีรหัสธนาคาร มีเลขที่บัตรเครดิตนี่ ทำรายการโดยคีย์ข้อมูลตามนั้นไม่ได้เหรอ เขาคงเห็นว่าเราไม่ยอมแน่ ๆ ก็เลยบอกว่า ครั้งนี้ยอมรับทำรายการให้ แต่คราวหน้าต้องใช้ใบที่มีบาร์โค้ดนะคะ เราบอกว่า จ่ายแค่คราวนี้แหละ คงไม่มีคราวหน้าแล้ว เพราะปกติให้ตัดบัญชีธนาคาร

เราเคยทำรายการจ่ายเงินทางอินเทอร์เน็ทโดยหักจากบัญชีธนาคาร ก็ต้องเลือกว่าจะจ่ายให้หน่วยงานไหน (มีชื่อหน่วยงาน มีรหัสธนาคาร) แล้วก็คีย์หมายเลขอ้างอิงแล้วแต่เขาจะต้องการ บางที่ก็มีหมายเลขเดียว บางที่ก็มีสองหมายเลข (REF1 กับ REF2) การรับชำระเงินของธนาคารหรือตามเคาน์เตอร์ต่าง ๆ ก็น่าจะทำนองเดียวกัน หลัง ๆ นี้มีใบแจ้งหนี้แบบที่มีบาร์โค้ด ก็สะดวกและลดความผิดพลาดได้เยอะ ไม่ต้องกลัวคีย์หมายเลขผิด

แต่ขอโทษเถอะ... ถ้าพนักงานจะไม่ยอมทำรายการ เพราะต้องอ่านตัวเลข/คีย์ตัวเลขเอง และต้องเช็คว่าคีย์ตัวเลขถูกต้องเอง แทนที่จะใช้เครื่องสแกนบาร์โค้ด ทีหลังธนาคารก็ไม่ต้องจ้างพนักงานดีกว่ามั้ง ซื้อเครื่องสแกนบาร์โค้ดมาดีกว่า ทำงานได้ถูกต้องตลอดเวลา ไม่อู้ ไม่บ่น (ตราบที่มีไฟฟ้า)

การใช้บาร์โค้ดก็สะดวกดี แต่ถ้าต้องทำรายการเอง ก็ควรจะทำได้ ไม่ใช่มาบอกลูกค้าว่าทำไม่ได้ ต้องไปเอาใบที่มีบาร์โค้ดมา แถมยังมาบอกอีกว่า ยอมทำให้ครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งหน้าไม่ยอมแล้ว เราได้แต่คิดในใจว่านี่เราไม่ได้มาขอความช่วยเหลือเขานะ เรามาใช้บริการและจ่ายค่าบริการ เขาอาจจะเข้าใจอะไรผิดไป

ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่คนที่อาวุโสกว่าบอกว่า ถ้าจ่ายเงินเข้าบัญชีผิด ก็จะทำเรื่องคืนไม่ได้ เราคิดในใจอีกเหมือนกันว่ามันไม่จริง ถ้าเราให้เลขบัตรเครดิตเขาไปผิด แล้วเขาคีย์ตามนั้น มันก็เป็นความผิดของเรา แต่ถ้าเราให้เลขบัตรที่ถูกต้องไป แต่เขาคีย์ผิดเอง ก็เป็นความผิดเขา แต่ไม่ว่าใครจะผิด ถ้ามีหลักฐานอยู่ก็ต้องแก้ไขได้ แต่อาจจะเสียเวลาและวุ่นวายมาก ก็เท่านั้นเอง

ของแถม: หลังจากมีเรื่องบาร์โค้ดนี้ ตอนเย็นเราฟังวิทยุ มีคนเล่าให้ฟังว่า จะไปคัดสำเนาการเปลี่ยนชื่อที่เขต ซึ่งต้องไปที่เขตที่ทำการเปลี่ยนชื่อ ปรากฎว่าไปถึงแล้วคอมพิวเตอร์เสีย เลยค้นหารายการไม่ได้ ต้องไปใหม่วันหลัง เขาบอกว่าทั้ง ๆ ที่เขาก็จดรายละเอียดไปทุกอย่างว่าเปลี่ยนชื่อวันไหน เลขอ้างอิงอะไรต่ออะไรก็มี ถ้าพนักงานจะไปค้นหารายการด้วยมือ ก็น่าจะทำได้ แต่เขาไม่ทำ พอมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น คนก็ยิ่งขี้เกียจมากขึ้นและโง่ลง จริง ๆ นะ

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

เรียนรู้เพิ่มทุกวัน กับการใช้แม็ค

คีย์บอร์ดบนแม็คไม่เหมือนบน PC

๑. ไม่มีปุ่ม Page up, Page down, Home, End
ใช้ ปุ่ม Apple + ลูกศรขึ้น กับ Apple + ลูกศรลง แทน Page up, Page down
ใช้ ปุ่ม Apple + ลูกศรซ้าย กับ Apple + ลูกศรขวา แทน Home, End (หรือจะใช้ ปุ่ม Option + ลูกศรขึ้น กับ Apple + ลูกศรลง ก็ได้เหมือนกัน)

๒. สลับภาษาไทยอังกฤษ
กดปุ่ม Apple + Space bar

๓. ปุ่ม Control แทนด้วย ปุ่ม Apple เวลาจะ Copy, Paste, Cut, Undo, Select All
Apple + C = Copy
Apple + V = Paste
Apple + X = Cut
Apple + Z = Undo
Apple + A = Select All

๔. ปุ่ม Delete
ปุ่ม Delete บนแม็ค ทำงานเหมือนปุ่ม backspace บน PC (คือกดเพื่อลบตัวหนังสือตัวที่อยู่หน้า Cursor) ถ้าจะลบตัวหนังสือที่อยู่หลัง Cursor (เหมือนเวลากดปุ่ม Delete บน PC) ต้องกด Fn+Delete

ฟังก์ชั่นบน OSX - สลับระหว่าง Spaces
ใช้ปุ่ม Control + ลูกศร หรือ Control + หมายเลข Space

Safari Beta 4

ใช้ Safari Beta 4 กับฮ็อทเมลไม่ได้ เพราะคลิกลิงก์แล้วมันไม่ไป ฮ็อทเมลอธิบายว่า ใช้ไม่ได้ เพราะไม่ support browser ที่ยังเป็น Beta อยู่ ในระหว่างนี้มีวิธีแก้ไขชั่วคราวโดยเข้าไปเซ็ท Safari Preference

โดยไปที่ Safari>Preferences>Advanced Tab> ติ๊กช่อง Show Develop in menu bar

ทีนี้ที่เมนู จะมีเมนู Develop เพิ่มขึ้นมาระหว่าง Bookmarks กับ Window เวลาที่ใช้ฮ็อทเมล ก็ให้เซ็ท User Agent

โดยไปที่ Develop>User Agent>Firefox 3.5.0 (Mac) หรือ Firefox เวอร์ชั่นอื่น ๆ ที่มีอยู่ในลิสต์

คิดว่า วิธีนี้น่าจะใช้แก้ปัญหากับบางเว็บไซท์อื่น ๆ ที่ปัญหาเวลาเปิดด้วย Safari Beta 4 ได้ด้วย (เช่น scbeasy)

อาการแปลก ๆ แต่ก็ไม่แปลก

เวลาเสียบสายไฟไว้ ชาร์จแบตจนเต็มแล้ว (ไฟที่สายชาร์จเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว) แต่สัญลักษณ์แบตเตอร์รี่บนเมนูขึ้นว่ามีแบตแค่ ๙๘% (หรือเปอร์เซ็นต์อื่น ๆ ที่ไม่เต็ม ๑๐๐%) เขาอธิบายว่า เป็นระบบป้องกันไม่ให้แบตเตอร์รี่ถูกชาร์จมากเกินไป (โอเวอร์ชาร์จแบตเตอร์รี่) แค่ถอดสายไฟออก แล้วใช้ให้แบตเหลือต่ำกว่า ๙๕% แล้วชาร์จใหม่ ก็จะชาร์จได้เต็ม ๑๐๐% แต่รู้สึกว่าใช้ไป ๆ ก็จะลดลงมาอีก เพราะฉะนั้นคาดว่าไม่ต้องสนใจมันก็ได้ ปล่อยให้มันต่ำกว่า ๑๐๐% ก็ไม่่น่าจะเป็นอะไร

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

จีดีพีลด ๓%

ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๕๒ มานี่ ยังไม่ได้ยินข่าวดีเรื่องเศรษฐกิจเลย มีแต่ข่าวลดเงินเดือน ลดโบนัส ลดคนงาน หรือกระทั่งปิดกิจการ ทุกประเทศต่างก็ออกมาตรการต่าง ๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจกันยกใหญ่ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เราไม่มีความรู้จะไปตัดสินอะไรได้ ได้แต่ฟัง ๆ ไปงั้น พวกตัวเลขเศรษฐกิจอะไรก็ไม่เข้าใจ

นักวิเคราะห์เขาออกมาบอกเศรษฐกิจจะหดตัว เพราะธุรกิจหรืออุตสาหกรรมภาคโน้นภาคนี้ หดตัวเท่านั้นเท่านี้ ในขณะที่รัฐมนตรีคลังพยายามทำใจดีสู้เสือ (หรือว่าไม่ยอมรับความจริง?) ประกาศโต้นักวิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะไม่หดตัว แต่จะโตน้อย ๆ ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ติดลบ แต่วันนี้ฟังข่าว เห็นว่ารมต.ออกมายอมรับแล้วว่าปีนี้จีดีพีจะลด ๓%

เห็นนักวิเคราะห์พูดเรื่องหดเรื่องขยายกันมาหลายเดือนแล้ว เราเลยลองวิเคราะห์ เศรษฐกิจส่วนตัว ของเราดูมั่งดีกว่า ย้อนกลับไปดูรายได้ปีที่ผ่าน ๆ มาว่าเป็นไง คิดเฉพาะรายได้ที่เป็นเงินเดือน-โอเวอร์ไทม์-โบนัส ปรากฏว่า รายได้ปี ๕๐ เพิ่มขึ้น ๙% จากปี ๔๙ รายได้ของปี ๕๑ เพิ่มขึ้น ๑๐% จากปี ๕๐

แต่รายได้ของปี ๕๒ จะลดลง ๙% จากปี ๕๑ อันนี้เป็นการประเมินล่วงหน้าจากเงินเดือนปัจจุบันซึ่งปีนี้ไม่ได้เงินเดือนขึ้น (เขาไม่ลดเงินเดือนก็ดีเท่าไหร่แล้ว!) โบนัสก้อนกะจิ๊ดริด (มีโบนัสก็ดีแล้ว) และนโยบายปลอดโอเวอร์ไทม์ (เขาไม่ลดชั่วโมงทำงานหรือบังคับลาพักร้อนก็ดีเท่าไหร่แล้ว)

ขนาดตัวเราเงินเดือนเท่าเดิม รายได้ยังลดไปตั้ง ๙% ก่อนหน้านี้บริษัทของเพื่อนเราประกาศลดเงินเดือนพนักงาน ๑๐% (อย่างต่ำ) นั่นไม่ยิ่งทำให้รายได้ลดไปมากกว่า ๑๐% หรอกเหรอ แล้วยังไหนจะมีอีกหลาย ๆ บริษัทที่ปิดกิจการ ทำให้พนักงานไม่มีรายได้เลยอีกเท่าไหร่ ตัวเลขจีดีพีที่บอกว่าจะลดลง ๓% ฟังแล้วไม่ make sense เลยแฮะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

Time vs. Money

อาทิตย์ก่อนเราไปประชุมที่กับ Vendor ที่เมืองจีน ประชุมเสร็จ Vendor พาไปเลี้ยงข้าวเย็น ก่อนจะให้รถไปส่งที่โรงแรมซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่งเพื่อขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยเช้าวันรุ่งขึ้น คราวนี้ไปกันหลายคน ก็เลยมีรถ ๒ คัน รถที่เรานั่งมี Project Manager กับ Owner's Engineer เป็นฝรั่ง แล้วก็มีเรา กับ Owner เป็นคนไทย

พอรถออกจากร้านอาหาร ก่อนจะขึ้นทางด่วน คนขับรถก็แวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน เรายังไม่ทันได้นึกอะไร PM หันมาหา OE แล้วบ่นแบบเซ็ง ๆ ว่านี่มันอะไรกัน ตอนที่พวกเรานั่งกินข้าวเย็นกัน มีเวลาตั้งสองชั่วโมง คนขับรถมัวไปทำอะไรอยู่ ถึงไม่ยอมเอารถไปเติมน้ำมันให้เรียบร้อย

OE ซึ่งเป็นคนอังกฤษที่อยู่เมืองไทยมาค่อนข้างนาน ตอบว่า ไม่อยากจะพูดเลยว่า แบบนี้นิสัยเหมือนคนไทยเลย เพราะคนขับรถที่บริษัทเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เขาต้องไปไซท์ที่ระยองบ่อย ๆ พอขับไปถึงไซท์ คนขับรถก็นั่งรอว่าง ๆ อยู่ทั้งวัน พอตอนเย็นออกจากไซท์ปุ๊บ คนขับรถแวะปั๊มใหญ่ ๆ ปั๊มแรกที่เจอ เพื่อเติมน้ำมัน

แล้วฝรั่งสองคนก็บ่นกันใหญ่ว่า คนขับรถควรจะจัดการเรื่องรถให้เรียบร้อยในระหว่างที่เขาไม่ได้ใช้รถ พอถึงเวลาที่เขาจะใช้รถ ก็ต้องพร้อมใช้เลย ไม่ใช่มาเสียเวลาเติมน้ำมัน เสียเวลาโน่นนี่ เราไม่เคยมีคนขับรถ เลยไม่รู้ว่า เราจะรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ฝรั่ง ๒ คนนี้เป็นหรือเปล่า แต่เราว่าเราพอจะเข้าใจลอจิกของคนขับรถอยู่บ้าง

เราว่าคนจีนกับคนไทยน่าจะเหมือน ๆ กันตรงที่ว่า พวกเรามีเวลาเยอะแยะ แต่มีเงินน้อย ถ้าต้องเลือกระหว่างเสียเงินกับเสียเวลา พวกเรายอมเสียเวลาดีกว่า เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเลือกที่จะเสียเวลาแวะปั๊มน้ำมันระหว่างทางที่จะไปขึ้นทางด่วน แทนที่จะขับรถออกจากร้านอาหาร (หรือออกจากไซท์) เพื่อไปเติมน้ำมันแล้วขับรถกลับมาที่เดิม เพราะการทำอย่างหลังมันเปลืองน้ำมัน-เปลืองเงินโดยใช่เหตุ

แต่พวกฝรั่งเขาคิดว่า เวลาของเขามีค่ามาก เขาเลยรู้สึกว่าคนขับรถน่าจะไปเติมน้ำมันให้เรียบร้อย และการที่จะต้องสิ้นเปลืองน้ำมันไปกับการขับรถวนไปมา มันก็เล็กน้อยเสียจนไม่เป็นประเด็น

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทำไมคนฉลาดทำเรื่องโง่ ๆ

วันก่อนเห็นภาพนี้ในหนังสือพิมพ์หน้ากีฬา ภาพมาจากหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของอังกฤษ News of the World อีกที ในเนื้อข่าวบอกว่าคนในภาพ คือ ไมเคิล เฟลป์ส กำลังสูบกัญชาในระหว่างที่ไปร่วมงานปาร์ตี้แห่งหนึ่ง

ก่อนหน้าที่ภาพนี้จะถูกเผยแพร่ ไมเคิล เฟลป์ส (ซึ่งเพิ่งจะเป็นสุดยอดฮีโร่ในปักกิ่งโอลิมปิกเมื่อปีที่แล้ว คว้าเหรียญทองคนเดียว ๘ เหรียญ ทำลายสถิติของมาร์ค สปิตซ์ที่ได้ ๗ เหรียญทองในโอลิมปิกปี ๑๙๗๒) พยายามเจรจากับ News of the World ไม่ให้เผยแพร่ภาพนี้ โดยเสนอว่าจะยอมช่วยโฆษณาและเขียนคอลัมน์ให้เป็นการแลกเปลี่ยน แต่ News of the World ไม่ยอม

การมีภาพแบบนี้ออกมา นอกจากจะเสียภาพพจน์แล้ว ยังอาจมีผลต่ออนาคตในการว่ายน้ำของเฟลป์สอีกด้วย เพราะสมาคมว่ายน้ำมีกฏห้ามนักกีฬายุ่งเกี่ยวกับยาเสพย์ติด เฟลป์ส อาจจะโดนแบนไม่ให้ว่ายน้ำเป็นปี ๆ ก็ได้ ไอ้ที่ว่าทุ่มเทฝึกซ้อมมาเป็นสิบ ๆ ปี อาจจะมาเจ๊งเพราะเรื่องขำ ๆ แค่ว่าอยากจะปาร์ตี้มันส์ ๆ กับเพื่อน ๆ เท่านั้นเอง

เห็นภาพแล้วนึกสงสัยเหมือนเราไหม... ว่า ทำไมคนฉลาด ๆ ถึงทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ได้

ไมเคิล เฟลป์ส ไม่ใช่คนฉลาดที่ทำเรื่องโง่ ๆ เป็นคนแรก ตอนที่มีข่าวคลินตันกับโมนิก้า ลิววินสกี้ คนก็สงสัยเหมือนกันว่า คนฉลาด ๆ อย่างคลินตัน ทำไมถึงทำเรื่องโง่ ๆ ไปมีอะไรกับนักศึกษาฝึกงาน ตอนสมัยนิกสัน เขาก็ว่ากันว่าทำไมโง่ไปดักฟังโทรศัพท์หรืออะไร สุดท้ายแล้วต้องเสียตำแหน่งปธน.ไป

นั่นเป็นกรณีดัง ๆ ของเมืองอเมริกา แต่ใช่ว่าแถว ๆ บ้านเราไม่มี

เอาที่แบบว่าเป็นเรื่องชาวบ้าน ๆ แต่ดังระดับทอล์คออฟเดอะคันทรี่ ก็อย่างกรณีดาราสาวฉายาเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงคิดแบบไม่ฉลาดว่าประชาชนจะเชื่อว่าเธอไม่รู้ตัวว่าตัวเองท้องตั้ง ๕ เดือน เพราะไพล่ไปเข้าใจผิดว่าร่างกายอ้วนท้วนผิดปกติ

อย่างกรณีนักมวยเหรียญทองโอลิมปิกที่ได้เงินรางวัลหลาย ๆ ล้านบาท ทำไมถึงไม่รู้จักคิด ใช้ชีวิตสำเริงสำราญ จนสุดท้ายก็แทบจะไม่เหลืออะไรเลย

อย่างกรณีนักแสดงตลกที่มีรายได้จากการเล่นตลกคืนละเป็นหมื่น ๆ แต่สุดท้ายก็หมดตัวเพราะติดการพนันหรือยาเสพย์ติด

หรืออย่างกรณีผู้นำประเทศที่เก่งกาจในการบริหารธุรกิจจนร่ำรวย แต่ก็ดันไปออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง มองไม่ออกว่า อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อะไรเกินเส้นของความเหมาะสม จนในที่สุดก็ต้องไปตะลอน ๆ ต่างประเทศกลับบ้านตัวเองไม่ได้

ตัวอย่างชักน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ พอก่อนดีกว่า...

คำถามที่ว่า ทำไมคนฉลาดถึงทำอะไรโง่ ๆ ในต่างประเทศเขามีการศึกษาวิเคราะห์กันเยอะแยะ ลองเสิร์ช why smart people do stupid things หรืออะไรประมาณนี้ จะเห็นว่ามีคนเขียนหนังสือออกมาหลายเล่มมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล จิตวิทยา การรู้จักตัวเอง ฯลฯ มีทฤษฏีโน่นนี่มากมาย

แต่เรากลับนึกว่าทฤษฎีของฝรั่งก็งั้น ๆ แหละ เราว่าจริง ๆ แล้วหลักพระพุทธศาสนาต่างหากคือคำตอบของ ทำไมคนฉลาด ๆ ถึงทำอะไรโง่ ๆ ... เพราะคนพวกนี้ เป็นคนฉลาดแล้ว แต่ยังฉลาดไม่ครบทุกด้าน ยังมี กิเลส และ ตัณหา อยู่

ลองอ่านคำนิยามของกิเลส ๑๐ และตัณหา ๓ จากวิกิพีเดียดูก็ได้

ประเภทของกิเลส
๑. อโนตตัปปะ - ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต
๒. โทสะ - ความโมโห โกรธ ความไม่พอใจ
๓. โมหะ - ความหลงใหล ความโง่
๔. อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา
๕. ทิฏฐิ - ความเห็นผิดเป็นชอบ
๖. วิจิกิจฉา - ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ
๗. โลภะ - ความพอใจ ชอบพอ เต็มใจ ในโลกียอารมณ์ต่าง ๆ
๘. ถีนะ - ความหดหู่ เงียบเหงา
๙. อหิริกะ - ความไม่ละอายต่อการกระทำผิด ทุจริต
๑๐. มานะ - ความ ทะนงตน ถือตัว เย่อหยิ่ง

ตัณหาแบ่งออกเป็น ๓ อย่าง
๑. กามตัณหา คือ ความอยากหรือไม่อยาก ใน สัมผัสทั้ง ๕
๒. ภวตัณหา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยนแปลง
๓. วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากทางจิต ความอยากดับสูญ

ถ้าเมื่อไหร่คนฉลาด ๆ ทางโลก สามารถละกิเลส ละตัณหาได้ คงจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้หรอก ว่ามะ

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

ถูกใจ

วันนี้ได้จดหมายจาก TMBAM (บลจ.ทหารไทย) แจ้งว่าเพื่อช่วยลดปัญหาโลกร้อน จึงขอยกเลิกการส่งใบยืนยันการซื้อขายหรือสับเปลี่ยนกองทุน ถ้าใครยังต้องการได้รับใบยืนยันตามเดิมให้แจ้งไปที่บลจ. แต่ถ้าไม่แจ้งไป เขาจะยกเลิกการส่งใบยืนยันแล้ว เริ่มต้น ๑๖ ก.พ. ๒๕๕๒

เราเห็นจดหมายนี้แล้วถูกใจจริง ๆ เพราะรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่ามันเปลืองกระดาษโดยใช่เหตุ ใบยืนยันนี่ก็ไม่เห็นจะเอาไปใช้ทำประโยชน์อะไรได้ ตอนแรก ๆ ที่เพิ่งซื้อกองทุน เราก็งง ๆ ต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานหรือเปล่า แต่พอรู้ว่าไม่ต้องใช้ทำอะไร ได้มาก็ทิ้ง

เราหวังว่าบลจ.อื่น ๆ จะหันมาใช้นโยบายนี้เหมือนกัน ถึงจะไม่คิดถึงการช่วยประหยัดทรัพยากรโลก ก็น่าจะคิดถึงการประหยัดค่าใช้จ่ายของบลจ. ยิ่งปีนี้เขาบอกว่าจะเป็นปีเผาจริง ประหยัดอะไรได้ก็น่าจะประหยัด

นอกจากใบสั่งซื้อขายสับเปลี่ยนกองทุนแล้ว อีกอย่างที่เราคิดว่าน่าจะเลิกส่งได้แล้วก็คือใบจ่ายหนี้บัตรเครดิต (ที่เอาไปใช้จ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารหรือเคาน์เตอร์อื่น ๆ อ่ะนะ) ปกติเราจ่ายบัตรเครดิตโดยตัดเงินบัญชีธนาคาร ในสเตทเมนต์เขาก็เขียนว่าจะหักเงินจากบัญชีนี้ ๆ วันที่เท่านี้ ๆ แต่ก็ยังแนบใบจ่ายหนี้มาให้ทุกเดือน เราไม่เคยได้ใช้เลย กลายเป็นขยะรกโลก (และที่จริงเวลาไปจ่ายเงินตามเคาน์เตอร์ ไม่ต้องใช้ใบจ่ายหนี้นี่ก็ได้ แค่มีสเตทเมนต์ก็จ่ายได้เหมือนกัน)

เราเดาว่าที่บริษัทบัตรเครดิตยังส่งใบที่ว่านี้มาด้วยถึงแม้จะจ่ายเงินโดยตัดบัญชีแล้ว คงเพราะข้างหลังกระดาษมันมีโฆษณาโปรโมชั่นต่าง ๆ ละมั้ง เราสงสัยจริง ๆ ว่า จะมีซักกี่คนที่เสียเวลาอ่านโฆษณาพวกนี้ (รวมทั้งโฆษณาทางไปรษณีย์ต่าง ๆ ที่ชอบส่งกันมาเยอะแยะด้วย) เราเบื่อขยะกระดาษพวกนี้ แต่เด็กที่บ้านเรากลับชอบ เพราะเขาเก็บรวม ๆ ไว้ เอาไปชั่งกิโลขายได้ตังค์

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์