วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

How green is your coffee?

ร้านสตาร์บัคส์มีมีถ้วยกาแฟ (Tumbler) ขาย ลวดลายสีสันสวยงามน่าใช้ (แต่ราคาแพงได้ใจ!!) ถ้าซื้อถ้วยนี้แล้วเอามาซื้อกาแฟในภายหลังจะได้ลดราคา (ในเมืองไทยได้ลด ๑๐ บาท ที่อเมริกาได้ด้ลด ๑๐ เซ็นต์*) ตอนสมัยที่ไปอเมริกาเราก็ซื้อมา ๑ ใบ (ราคาไม่แพงได้ใจเท่าที่ขายในเมืองไทย ที่อเมริกา Tumbler ใบนึงราคาประมาณ ๓ เท่าของราคากาแฟ ๑ แก้ว ในขณะที่เมืองไทยราคาประมาณ ๖-๗ เท่าของราคากาแฟ)

สมัยที่เรายังทำตัวไฮโซ กินกาแฟสตาร์บัคส์ ก็จะพกถ้วยที่ว่านี้ไปใส่กาแฟเอง ก็ได้ลดมาทีละ ๑๐ บาท แต่หลังๆ เราเปลี่ยนไปกินกาแฟยี่ห้ออื่นที่ราคาถูกกว่าสตาร์บัคส์ ก็เลยไม่ได้พกถ้วยไปใส่เอง

ร้านกาแฟที่เราไปอุดหนุนส่วนใหญ่จะใช้ถ้วยกาแฟพลาสติก เราก็ซื้อกินโดยไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากเราได้ปฏิบัติการการลดใช้ถุงพลาสติกมาได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มนึกถึงการลดใช้ถ้วยกาแฟพลาสติกมั่ง

แน่นอนว่าไปซื้อที่สตาร์บัคส์ได้ลดราคา ๑๐ บาท แต่กาแฟมันแพงอ่ะ ลองไปสำรวจร้านอื่นๆ ดูมั่งดีกว่า ว่ากาแฟของเขาสีเขียว (รักษ์สิ่งแวดล้อม) แค่ไหน?

๑. บลูคัพ (เอสแอนด์พี)
เรา: วันหลังเอาถ้วยมาใส่เองได้ไหม
พนักงาาน: ได้ค่ะ
พอซื้อกาแฟครั้งถัดๆ ไป เราเอาถ้วยกาแฟ(ยี่ห้อสตาร์บัคส์!)ไปใส่กาแฟเอง พนักงานก็ใส่ให้แต่โดยดี

๒. ทรูคอฟฟี่
เรา: วันหลังเอาถ้วยมาใส่เองได้ไหม
พนักงาน: ... (ไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแหยๆ สรุปได้ว่า ทางร้านไม่มีนโยบายแบบนี้**)

๓. ร้านกาแฟรถเข็นข้างออฟฟิศ
เรา: วันหลังเอาถ้วยมาใส่เองได้ไหม
คนขาย: ได้จ้ะ
หลังจากที่เราเอาถ้วยไปใส่กาแฟเองแล้ว วันอื่นๆ เขาก็จะถามว่า “พี่เอาถ้วยมาใส่เองหรือเปล่าจ๊ะ”

๔. แบล็คแคนยอน
เรา: เอาถ้วยมาใส่เองได้ไหมคะ (พร้อมยื่นถ้วยกาแฟให้)
พนักงานรับถ้วยกาแฟของเราไปใส่กาแฟโดยไม่ได้ว่าอะไร

๕. คอฟฟี่เวิลด์
เรา: เอาถ้วยมาใส่เองได้ไหมคะ (พร้อมยื่นถ้วยกาแฟให้)
พนักงานทำหน้างงๆๆ แต่ก็ยอมใส่กาแฟในถ้วยที่เราเตรียมไปเอง

จากเดิมที่เราเป็นย้ายมาแฟนกาแฟทรูคอฟฟี่ (เพราะมีบัตรลด ๓๐%) พอมานึกถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็เลยลดความถี่ในการซื้อลง หันไปอุดหนุนบลูคัพกับแบล็คแคนยอนแทนบ้าง นี่ถ้าสองร้านนี้มีลดราคาแบบสตาร์บัคส์ด้วย เราจะเลิกซื้อกาแฟของทรูคอฟฟี่แล้วอ่ะ :P

*ปล ๑. ความจริงการลดราคาแค่ ๑๐ บาทต่อราคากาแฟแก้วละ ๖๐-๙๐ บาท ดูจะน้อยเกินไป เทียบกับความยุ่งยากในการต้องพกถ้วยกาแฟไปเอง กินเสร็จก็ต้องล้างเองอีกตะหาก แต่เราก็ยังเต็มใจทำ และอยากชักชวนให้คนอื่นๆ ช่วยกันทำ (เท่าที่ทำได้) เพราะมันไม่ใช่แค่การได้ประหยัดเงิน แต่จะได้ลดปริมาณขยะพลาสติกซึ่งต้องใช้เวลาหลายๆ สิบปีกว่าจะย่อยสลายไปได้

**ปล ๒. เราสังเกตเอาเองว่า ร้านที่มีถ้วยกาแฟ Tumbler ขาย (เช่น เอสแอนด์พี หรือ แบล็คแคนยอน) พนักงานจะไม่ค่อยงงเวลาที่มีคนเอาถ้วยกาแฟไปใส่เอง ส่วนร้านที่ใช้ถ้วยพลาสติกหลายๆ ร้านเราสังเกตว่าเขาจะควบคุมจำนวนขายโดยการนับจำนวนถ้วยที่ใช้ไป (เคยเห็นเขาเขียนตัวเลขตรงก้นถ้วย) เดาว่าร้านพวกนี้ไม่ยอมให้เราเอาถ้วยไปใส่กาแฟเอง เพราะจะทำให้เสียการควบคุมของเขาไป

ปล ๓. เพิ่งไปช็อปปิ้งที่ Big C มา ถ้าบอกพนักงานว่าไม่เอาถุงพลาสติก จะได้เงินค่าโทรศัพท์ ๒ บาท ความจริงน่าจะคืนเป็นเงินสด แต่ก็ยังดีกว่ายี่ห้ออื่นๆ ที่ไม่มีแคมเปญจูงใจอะไรเลย เล่าให้ฟังไว้ เผื่อยี่ห้ออื่นจะออกแคมเปญทำนองนี้มาสู้มั่ง :)

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ช่วยๆ กันสอนดีไหม

วันก่อนเราไปซื้อหนังสือ แล้วก็เอาไปให้ห่อปกพลาสติกฟรี ตรงแผนกห่อปกมีเจ้าหน้าที่ของร้านกับเด็กแต่งชุดนักศึกษาอีก ๒ คน เราซื้อหนังสือหลายเล่ม มีหนังสือสำหรับเด็กเป็นชุดใส่ในกระเป๋าพลาสติกด้วย เด็กนักศึกษาหยิบไปแล้วก็พูดว่า เอ๊ะ... อันนี้จะทำยังไงเนี่ย แล้วก็หยิบไปวางแยกไว้แบบไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง แล้วก็หยิบหนังสือเล่มอื่นไปห่อแทน

เราก็เลยต้องหยิบกระเป๋าพลาสติกมาเปิดออก หยิบหนังสือออกมาวาง เขาถึงเข้าใจว่า อ้อ... ต้องเอาหนังสือออกมาจากกระเป๋าพลาสติกก่อน ถึงจะห่อปกได้ เฮ้อออ (รอบที่ ๑)

เราสังเกตว่าคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของร้านจะเลือกปกพลาสติกที่ใหญ่กว่าหนังสือ แล้วก็ใช้คัทเตอร์ตัดมุมส่วนที่เกินออก แล้วพับทบด้านบน-ล่าง และด้านหลัง แล้วติดสก็อตเทป ในขณะที่เด็กนักศึกษาคนที่หนึ่งจะใช้วิธีหาปกที่พอดีกับขนาดหนังสือ แล้วก็ทบปลายด้านหลังเข้าไปเฉยๆ (แบบแรกต้องใช้ฝีมือและความประณีตมากกว่า เพราะต้องตัดส่วนเกินออก, พับ, และติดสก็อตเทป) ส่วนเด็กนักศึกษาคนที่สอง หยิบหนังสือไป แล้วก็ถามว่า เล่มนี้มีปกขนาดพอดีไหม นี่แค่วัดขนาด ยังไม่คิดจะทำเลยเหรอเนี่ย เฮ้ออ... (รอบที่ ๒)

มีหนังสือเราเล่มหนึ่งขนาดมันกว้างกว่าพ็อคเก็ตบุคปกติ เราก็คอยดูว่าเด็กนักศึกษาจะห่อยังไง เพราะปกที่ขนาดพอดีกับความสูง ความยาวก็จะสั้นเกินกว่าที่จะพับทบตรงปกหลังได้ เรามองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่พอแน่ๆ แต่เขาก็ยังเอาไปห่อ และพยายามทบปลายอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่ได้ สุดท้ายเขาใช้คัทเตอร์ตัดลิ้นด้านในออก ค่อยพับปลายทบเข้ามา จะเอาสก็อตเทปติด ถึงตอนนี้เราทนไม่ไหวก็เลยบอกให้เขาเอาปกขนาดใหญ่กว่าไปห่อ

ในระหว่างนี้เด็กคนที่สองห่อปกหนังสือของคนอื่นเสร็จแล้ว ก็เลยมาเอาหนังสือของเราไปห่อ ปรากกฏว่านอกจากจะใช้เวลานานมากๆ แล้ว คุณน้องยังห่อได้ชุ่ยมากๆๆ ดึงพลาสติกไม่ตึง พับไม่เรียบร้อย ปกก็เลยหลวมๆ จะหลุด แถมตัดมุมไม่เรียบร้อย จนเราต้องบอกให้เจ้าหน้าที่ของร้านช่วยตัดขอบออกให้มันเรียบๆ ในใจคิดว่ารู้งี้ขอปกพลาสติกกลับมาห่อเองคงจะดีกว่า

ระหว่างนี้ก็มีคนอื่นเอาหนังสือมาให้ห่ออีก มีบางเล่มเป็นปกแข็ง เด็กนักศึกษาก็บอกว่าห่อไม่ได้ เจ้าหน้าที่ร้านก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า ไม่เห็นมีใครห่อได้ซักคน เราฟังแล้วก็รู้สึกเห็นใจ เพราะแค่เท่าที่สังเกตอยู่ไม่กี่นาที เราก็รู้ว่าเด็กพวกนี้ไม่ได้เรื่องจริงๆ ก็แค่ห่อปกหนังสือให้เรียบร้อยก็ยังทำไม่ได้ เฮ้อออ (รอบที่ ๓)

เรากลับมาเล่าให้พี่สาวฟังว่า เนี่ย.. เด็กสมัยนี้ ไปเป็นเด็กฝึกงาน หางานพาร์ทไทม์ทำ เหมือนจะดี ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้เรียนรู้การทำงาน แต่เท่าที่เห็น กลับสักแต่ว่าไปทำ แต่ไม่ตั้งใจทำงานให้ดี ขนาดงานที่เหมือนจะง่ายๆ ก็ยังไม่ตั้งใจ แล้วใครจะกล้าวางใจให้ไปทำงานยากๆ

พนักงานประจำเจอเด็กฝึกงานหรือเด็กพาร์ทไทม์แบบนี้ก็คงเซ็ง แทนที่จะได้เด็กมาช่วยแบ่งเบาภาระ ก็เหมือนจะมีภาระเพิ่ม เพราะน้องทำอะไรไม่เป็น และไม่คิดจะขวนขวายทำให้ดีๆ ขึ้นเลย

พี่สาวเราฟังแล้วแทนที่จะหงุดหงิดหรือปลงสังเวชกับเรา กลับบอกว่าแล้วทำไมแกไม่สอนเขาไปล่ะ บอกไปเลยว่า เนี่ย... น้องทำแบบนี้ไม่เรียบร้อยเลย มาพี่(เอ.. หรือต้องเป็นป้า?)จะทำให้ดู สอนเขาว่าทำให้ดีๆ ต้องทำยังไง เราก็เลยนึกได้ว่า การที่เราเอาแต่บ่น หรือหงุดหงิดมันไม่ช่วยอะไร เพราะเด็กพวกนั้นก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองบกพร่องอย่างไร และจะแก้ไขได้อย่างไร ถ้าเราช่วยๆ กันสอน ช่วยๆ กันบอก เด็กพวกนี้ก็น่าจะพัฒนาขึ้นได้ เพราะคุณน้องๆ คงไม่ได้เป็นบัวใต้น้ำกันซะทุกคนไปหรอกเนอะ!

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์