พ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษ พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกสามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ซึ่งคุณหมอที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กพิเศษบอกว่า ถ้าพ่อแม่ยอมรับว่าลูกมีปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ หมอก็จะสามารถแนะนำวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยเด็กได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรักและความเอาใจใส่ของพ่อแม่ เพราะต่อให้หมอที่เก่งแค่ไหน นักกิจกรรมที่มีความสามารถแค่ไหน แต่คนที่ใกล้ชิดลูกมากที่สุดก็คือพ่อแม่ นอกจากนี้พ่อแม่ยังต้องให้เวลา อย่าคิดว่าการเลี้ยงลูกที่เป็นเด็กพิเศษคือการวิ่งร้อยเมตร จะสปีดให้ถึงเส้นชัย มันเป็นไปไม่ได้ ให้นึกว่าเป็นการวิ่งมาราธอน ไม่ต้องสปีด แต่ก็ต้องไม่หยุดวิ่ง...
ในรายการบอกว่าปัจจุบันเด็กที่อยู่ในวัยเรียนมีประมาณ 10 ล้านคน มีเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษอยู่ไม่น้อย โดยมีเด็ก LD ประมาณ 6 แสน - 1 ล้านคน เด็กสมาธิสั้นประมาณ 5 แสน และเด็กออทิสติกอย่างน้อย 5 หมื่นคน หมายความว่าอย่างต่ำ ๆ มีเด็กพิเศษประมาณ 1 ล้านกว่าคน หรือในเด็กทุก ๆ 10 คน จะมีเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ 1 คน
จำนวนตัวเลข 1 ใน 10 อาจจะทำให้พ่อแม่วิตกกังวลว่าลูกตัวเองจะมีปัญหา แต่สิ่งที่พ่อแม่น่าจะวิตกกังวลมากกว่าก็คือ เด็กธรรมดาที่พ่อแม่ปล่อยให้ดูทีวี-เล่นเกมจนติด จะแสดงลักษณะและอาการคล้ายกับเด็กพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการมีพัฒนาการด้านการพูดและการสื่อสารที่ช้ากว่าปกติ การไม่ชอบสังคม การจัดการกับอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ นี่ก็ตรงกับที่เราเคยเล่าเรื่องเด็กติดทีวีที่ได้ดูในรายการจุดเปลี่ยน
สรุปว่าพ่อแม่คงต้องตระหนักด้วยว่าควรจะเลี้ยงลูกกันอย่างไรถึงจะป้องกันไม่ให้ลูกที่เป็นเด็กปกติ กลายเป็นเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ “การสร้างวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยหนังสือ” อย่างในบทความ พัฒนาเด็กด้วยหนังสือ การลงทุนเพื่ออนาคต ของมูลนิธิซิเมนต์ไทย ที่ก็อปปี้มาโพสต์ไปเมื่อวันก่อนน่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เห็นผลแล้วเป็นรูปธรรม
หนังสือภาพ 5 เรื่องเอกของโลก
หลังจากที่เราโพสต์เรื่องพัฒนาเด็กด้วยหนังสือไป ก็มีคนบอกว่าเคยได้ยินว่ามูลนิธิซิเมนต์ไทยแนะนำหนังสือภาพคลาสสิกสำหรับเด็ก 5 เล่ม แต่ไม่รู้ว่าคืออะไรบ้าง เราเสิร์ชเจอแล้วก็ส่งลิงก์ไปให้ แต่พอดีเพื่อนเราที่มาโพสต์คอมเมนต์ไว้ก็พูดถึงเหมือนกัน เราคิดว่าคงมีประโยชน์กับหลายคน เลยก็อปปี้มาโพสต์ไว้ตรงนี้ด้วย

เรื่องและภาพโดย แวนดา ก๊อก
แปลโดย ชีวัน วิสาสะ
ราคา 40 บาท
“แมวล้านตัว” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2498 และยังคงได้รับการตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องถึงทุกวันนี้ นับว่าเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็กที่มีอายุยืนที่สุดของอเมริกาที่ยังมีการตีพิมพ์อยู่ในปัจจุบัน ภาพต้นฉบับใช้หมึกดำสีเดียว ลายเส้นประณีตและงดงามมาก แมวล้านตัวได้รับการตีความมากมาย ทั้งทางปรัชญา ศาสนา การใช้ชีวิต ความโลภ เสียดสี เหน็บแนม ความเห็นแก่ตัว และความไร้เดียงสาของมนุษย์ รวมถึงนิยามความเป็นมนุษย์และความงามอันหลากหลาย

เรื่องและภาพโดย มารี ฮอลล์ เอ็ตส์
แปลโดย อริยา ไพฑูรย์
ราคา 40 บาท
“เดินเล่นในป่า” มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตามสไตล์ของ มารี ฮอลล์ เอ็ตส์ คือการใช้ดินสอเพื่อให้ได้ภาพที่ดูอบอุ่นและอ่อนโยน หนังสือของเธอทำให้ผู้ใหญ่จำนวนมากที่เคยเชื่อว่าหนังสือเด็กจะต้องมีสีสันมากมายนั้นต้องเปลี่ยนความคิดไป เพราะหลายเล่มได้รับการพิสูจน์แล้วว่าหนังสือสำหรับเด็กนั้นไม่จำเป็นต้องมีสีสันสดเจิดจ้าเสมอไป ถ้าหนังสือเล่มนั้นสามารถสื่อสารกับเด็ก ๆ ได้ด้วยเรื่องและภาพที่ดี

เรื่องและภาพโดย ดอน ฟรีแมน
แปลโดย อัจฉรา ประดิษฐ์
ราคา 50 บาท
“คอร์ดูรอย” พิมพ์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2511 ด้วยเทคนิคภาพพิมพ์แกะไม้ (wood cut) และลงสีน้ำ ทำให้ภาพดูเคลื่อนไหว มีอารมณ์ และน่าตื่นเต้น กระทั่งได้รับการกล่าวอย่างชื่นชมว่า ไม่มีใครแกะไม้ให้ตัวละครมีหน้าตาเกลี้ยงเกลาและแสดงอารมณ์ได้มากเท่าภาพตัวละครในหนังสือเล่มนี้

เรื่องและภาพโดย แอสไฟร์ สโลบ็อดกินา
แปลโดย ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลสวัสดิ์
ราคา 70 บาท
“มีหมวกมาขายจ้า” เป็นนิทานเก่าแก่ของอินเดีย ถูกนำมาทำเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็กครั้งแรกเมื่อเกือบ 70 ปีมาแล้ว และยังคงติดอันดับขายดีจนถึงปัจจุบัน แอสไฟร์ สโลบ็อดกินา เป็นศิลปินนักออกแบบสามารถทำภาพประกอบได้อย่างมีชีวิตชีวาและมีอารมณ์ขัน การออกแบบฉากและตัวละครให้ดูใกล้ชิดกับเด็ก ๆ

เรื่องและภาพโดย รัธ เคิร์ส และ คร็อคเก็ท จอห์นสัน
แปลโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ
กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการจัดพิมพ์ (8 ก.ค. 51)
“เมล็ดแคร็อท” เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่าเรื่องง่าย ๆ ใช้คำเพียง 101 คำ แต่มีความลึกซึ้ง เนื้อหาของเรื่องทำให้เด็ก ๆ สามารถเข้าใจคำว่า “อดทน รอได้” เป็นอย่างดี Maurice Sandak เจ้าของเรื่อง ดินแดนแห่งเจ้าตัวร้าย ยกย่องหนังสือเล่มนี้เอาไว้ว่า “หนังสือภาพเล่มนี้สมบูรณ์แบบจนเรียกว่า เป็นบรรพบุรุษของหนังสือภาพทุกเล่มในสหรัฐอเมริกาก็ว่าได้ มันคือการปฏิวัติเล็ก ๆ ของหนังสือเล่มหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของการพิมพ์หนังสือภาพสำหรับเด็กไปตลอดกาล”
รูปและข้อมูลมาจากมูลนิธิซิเมนต์ไทย http://www.scgfoundation.org/update/2008-07-17/
8 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากนะนิจสำหรับข้อมูลที่มีประโยชน์ เอาไว้เราจะบอกเปาเปาว่าป้านิจเป็นคนแนะนำหนังสือพวกนี้ให้นะ :)
บอกเปาเปาว่า พี่สาว แนะนำมา :D
"เลี้ยงลูกด้วยหนังสือ" เห็นด้วยอย่างยิ่ง
แต่ทำได้ยาก เพราะบ้านเราหนังสือแพงโคตร
ถ้าเห็นแก่อนาคตของชาติจริง ๆ รัฐต้องงดหรือลดภาษีกระดาษ ... นี่ท่าจะยากกว่าเยอะ
หรือจะ "ซื้อเสียงด้วยหนังสือ" ก็น่าจะเข้าท่า ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง สส.ได้เสียง ประชาชนได้สมอง
คุณ golb ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนที่แล้ว...
>>>ปัจจุบันพ่อแม่ผู้ปกครองยังมองเห็นว่า หนังสือภาพสำหรับเด็กมีราคาแพง หากเมื่อมองให้ลึกถึงคุณค่าแล้ว หนังสือภาพสำหรับเด็กไม่ได้มีราคาแพงเกินกว่าคุณประโยชน์มหาศาลที่เด็กจะได้รับ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับของใช้ฟุ่มเฟือยอื่น ๆ สำหรับเด็ก<<<
หวังพึ่งคนอื่นยากยิ่งนัก เปลี่ยนเป็น “ทำบุญด้วยหนังสือ” ไปก่อนละกัน (เดี๋ยวเขาพิมพ์ครบ ๕ เล่มเมื่อไหร่ จะซื้อแจกตามห้องสมุดต่าง ๆ ซัก หน่อย)
เปรียบกับของใช้ฟุ่มเฟือยน่ะ ใช่ครับ
แต่กับปากท้องแล้ว คุณ nitbert คงเดาได้ว่าพ่อแม่จะเลือกอะไร ในภาวะค่าครองชีพและคุณภาพชีวิตคนไทยในเวลานี้
เรื่องนี้รัฐไม่ใช่ที่พึ่งครับ รัฐต้องบริการ
ไม่เพียงแค่หนังสือราคาถูก ต้องมีห้องสมุดประกบตามสาขา 7-Eleven เลย ไกลกันดารนักก็ทำเป็นโมบายไลบรารี่ก็ได้ แต่ต้องมาตรฐานระดับ Museum Siam นะครับ ต่ำกว่านั้นมันจะกลายเป็นสุสานไปซะเปล่า
งบประมาณไม่ใช่ปัญหา ขอแค่ หนึ่งเทอม(สี่ปี)ของรัฐบาลไม่ต้องซื้ออาวุธเลย บวกกับอีกซักสี่ห้าเปอร์เซ็นต์จากกำไรของ ปตท. แค่นี้ก็พอถมถืดแล้ว
มีอยู่โครงการนึงเห็นแวบ ๆ ทางทีวี ชื่ออะไรของใครไม่รู้ครับ ที่นิมนต์พระมาบิณฑบาตรหนังสืออ่ะ ผมว่าเจ๋งดี เปลี่ยนจากพระมาเป็นเด็กช้อปหนังสือฟรีน่าจะดี
:)
เห็นด้วยกับคุณ golb แค่ส่วนเดียว... เป็นความจริงที่มีคนจำนวนมากพอสมควร ที่มีรายได้น้อย และไม่พร้อมจะใช้จ่ายเงินซื้อหนังสือเพราะแค่ค่ากินค่าอยู่ก็แย่แล้ว
แต่ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่ง ที่บอกว่าเงินไม่พอใช้ รายได้น้อย แต่กลับเอาเงินไปซื้อเหล้า-บุหรี่-เล่นหวย ผ่อนโทรศัพท์มือถือ ผ่อนทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
แล้วก็มีคนฐานะปานกลางไปจนถึงดีจำนวนหนึ่ง ก็มัวแต่ไปแข่งขันด้านวัตถุกัน ซื้อของเล่นแพง ๆ ไฮเทคให้ลูก
เรื่องหวังพึ่งรัฐบาลนี่ขอไม่คอมเมนต์ดีกว่า เพราะมองไม่เห็นความหวังแม้แต่น้อย... -_-"
อันนี้ยอมเลย..ทำให้คนไทยรู้คุณค่าของหนังสือนี่ยากกว่าลดราคาหนังสือเป็นไหน ๆ
ทำสวนง่ายกว่าเยอะ ได้อ่านต้นไม้ อ่านแดด อ่านลม ฟรี ๆ ทุกวัน
:)
บางคนก็โชคดี ได้ทำสวน ชมไม้ดอกไม้ใบ
แต่บางคนก็ต้องก้มหน้าก้มตา “ไถนา” เอ้ย... นั่งจับเจ่าอยู่หน้าคอมฯ ต่อไป :P
แสดงความคิดเห็น