วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550

รักนะแต่ไม่แสดงออก

วันก่อนได้รับการ์ดจากเพื่อนที่อเมริกา ก่อนเปิดซองก็สงสัยว่ามีโอกาสอะไรพิเศษหรือเปล่าที่ทำให้เราได้การ์ดแผ่นนี้ จะว่าเป็นการ์ดวันเกิดก็เร็วเกินไป จะเป็นการ์ดปีใหม่ไทยก็ผ่านมานานแล้ว เปิดซองออกมาเป็นการ์ดขอบคุณ

เพื่อนเราคลอดลูกเมื่อประมาณ ๒ เดือนที่แล้ว เราก็สั่งของขวัญทางอิน-เทอะร์-เน็ทส่งไปให้ เพื่อนก็บ่นๆ ว่าเกรงใจ แต่เราบอกว่าไม่เป็นไร เราอยากให้ ความจริงก็ได้คุยกันทั้งทางอีเมลและทาง MSN เพื่อนก็ขอบอกขอบใจก่อนหน้านี้แล้วหลายรอบ

ในการ์ดเพื่อนเราเขียนว่า ขอโทษที่ส่งการ์ดขอบคุณช้าไปหน่อย ความที่เป็นแม่มือใหม่ก็เลยวุ่นๆ เพิ่งได้เวลาจัดการอะไรต่ออะไร

เราว่านี่เป็นอีกหนึ่ง “นิสัยอเมริกัน” ที่เพื่อนเราติดมา เพราะคนไทยไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้ ในแง่หนึ่งมันก็ยุ่งยากวุ่นวายนะ เสียเวลานะ (คนไทยต้องเอาเวลาไปทำมาหากิน ไม่มีเวลามาทำเรื่องแบบนี้?) แต่นึกในอีกแง่หนึ่งมันก็ดีนะ เป็นมารยาทดี ใครทำอะไรให้เราก็ต้องขอบคุณ

ความจริงคนไทยก็มีมารยาท ใครทำอะไรให้ขอบคุณนะ แต่มันไม่ได้เป็นรูปธรรมขนาดนี้ เราว่าคนไทยเป็นพวกที่ไม่ค่อยแสดงออกในด้านอารมณ์ให้คนอื่นรับรู้ รักก็เก็บไว้ในใจ เกลียดก็เก็บไว้ในอก นอกจากจะเหลืออดเหลือทนจริงๆ ถึงจะได้แสดงกันออกมาทางวาจา หรือการกระทำ

แต่หลังๆ นี้เราสังเกตว่า คนไทยเปิดเผยอารมณ์กันมากขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น แต่เป็นในด้านลบซะเยอะ คือ หมดความเกรงอกเกรงใจคนอื่น คิดอะไรก็พูดออกไปโพล่งๆ ไม่พอใจใครก็ออกมาประท้วงกันโต้งๆ อ้างว่าเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล

แต่พอเป็นด้านดี ด้านบวก ส่วนใหญ่ก็ยังเก็บงำกันไว้ไม่เปิดเผยเท่าที่ควร เป็นประเภทรักนะแต่ไม่แสดงออก ขอบคุณนะแต่เก็บไว้ในใจ ยิ่งคนใกล้ตัวเท่าไหร่ยิ่งละเลย เพราะคิดว่าไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องรักษามารยาท (ลองนึกดูว่า ตัวเองพูด “ขอบคุณ” “ขอโทษ” “รัก” “คิดถึง” “เป็นห่วง” กับคนในครอบครัวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ของเรานี่นึกไม่ออกเลย เป็นพวกหยาบในอารมณ์มากกับคนใกล้ตัว แต่กับคนอื่นก็ยังต้องทำบ้าง เวลาที่เป็นมารยาทปฏิบัติของสังคม)

ตอนนี้สังคมกำลังแรงๆ ร้อนๆ ประทุเป็นไฟ คนไทยลองหันมาเป็นคนกล้าแสดงออก กล้าเปิดเผยความรู้สึกในด้านบวกกันบ้างดีไหม รักใคร ชื่นชมใคร ขอบคุณใคร ก็บอกให้เขาได้รับรู้แบบเป็นรูปธรรม

เริ่มจากคนในครอบครัว (สำหรับเราอาจจะทำไม่ได้ เพราะมันเขินๆ – it’s easier said than done :P – แต่เอาเป็นว่า ถึงไม่ได้ออกมาเป็นวาจาหรือการกระทำตรงๆ แต่เราก็น่าจะมีวิธีการที่แสดงความรู้สึกดีๆ ให้กันได้ ในระดับที่เหมาะสมกับตัวเอง) แล้วกระจายต่อไปคนรอบๆ ตัว เพื่อนๆ คนในที่ทำงาน แล้วก็ไปที่คนอื่นๆ ทั่วไป

เราทำงานกับฝรั่ง เคยได้รับคำชมหรือคำขอบคุณหลายๆ ครั้ง ทุกครั้งก็รุ้สึกดี (ถึงแม้บางทีจะรู้สึกว่า เฮ้ยยยย ไม่ต้องเวอร์ขนาดนั้นก็ได้ แต่อ่านอีเมลแล้วก็ยิ้มได้พักหนึ่ง) มันก็แค่เวลาสองสามนาที กับคำพูดไม่กี่คำหรือตัวหนังสือไม่กี่ตัว แต่สร้างความรู้สึกดีๆ ให้คนได้

เราคิดว่าน่าจะพยายามทำให้บ่อยขึ้น แต่ก็มักจะลืมตัวทุกทีไป แต่เรื่องทุกเรื่องมันฝึกหัดกันได้ หันมาแสดงออกในอารมณ์ชอบ รัก พึงพอใจ ขอบคุณ ให้ออกมาเป็นรูปธรรมกันดีกว่า ส่วนอารมณ์ร้าย เกลียด ไม่รัก อิจฉา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของให้ตัวอิจฉาในละครภาคค่ำที่พะเรทติ้ง “น” เขาเถอะ

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านเรื่องนี้ แล้วไพล่ไปนึกถึง SMS ตามหน้าจอทีวี แล้วก็เห็นด้วยว่าเดี๋ยวนี้คนไทยกล้าแสดงออกมากขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างในด้านลบอย่างที่ว่า

กลายเป็นคนดูต้องถูกยัดเยียดให้รับรู้อารมณ์ร้ายๆ ไม่พอใจของคนบางคนโดยไม่มีทางเลี่ยง เห็นทุกวันๆ นี่ทำให้เสียสุขภาพจิตไม่น้อยทีเดียว

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์