วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทัศนคติที่เปลี่ยนไป (๑) เรื่องดูดวง

เมื่อก่อนเราค่อนข้างเชื่อเรื่องดวงชะตาราศี ชอบอ่านคำทำนายว่าคนเกิดราศีนี้เป็นแบบนี้แบบนั้น อยากดูหมอดู อยากฟังคำทำนายว่าอนาคตเรื่องการเรียน ความรัก การเงิน การเดินทาง ฯลฯ จะเป็นยังไง แต่เราไม่ค่อยได้ดูดวงกับหมอจริงๆ เท่าไหร่ เท่าที่จำได้มีแค่ ๒ ครั้ง ครั้งแรกไปดูกับแม่ หมอดูเป็นญาติกัน ตอนนั้นเราเรียนมหา’ลัยใกล้ๆ จะจบแล้ว เขาบอกว่าดวงเราจะได้เดินทางไปต่างประเทศ พอเราเรียนจบมหา’ลัยก็ไปเรียนต่ออังกฤษ ๒ ปี

อีกครั้งหนึ่งเป็นตอนที่เรียนจบกลับมาทำงานแล้ว เราถ่อไปดูถึงเพชรบุรี เพราะคนที่ทำงานชวนไป เหมารถตู้ไปกันหลายคน เขาบอกว่าแม่นมากๆ หมอดูว่าดวงเดินทางเราเด่นมากๆ น่าจะได้เดินทางไปต่างประเทศ (อีกแล้ว!) หลังจากนั้นไม่นานเศรษฐกิจฟองสบู่แตก บริษัทอื่นๆ เลย์ออฟพนักงานกันกันเป็นเบือ แต่บริษัทเราไม่อยากเลย์ออฟ เพราะคิดว่าถ้าเศรษฐกิจฟื้นก็ต้องมาจ้างคนใหม่ เขาเลยก็เลยส่งพนักงานไปทำงานที่ออฟฟิศที่อเมริกาฆ่าเวลา เราก็เลยไปเป็นกะเหรี่ยงทำงานที่อเมริกาปีครึ่ง

จากประสบการณ์ดู ๒ หมอนี้ จะว่าหมอดูแม่นก็แม่น เพราะใครจะไปคิดว่าเราจะได้ไปเรียนต่างประเทศ บ้านเรามีพี่น้อง ๕ คน เราเป็นเดียวที่ได้ไป (ขนาดพี่สาวเราเตรียมตัวจะไปแล้ว แต่กะว่าจะไปพร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ตอนหลังเพื่อนยกเลิกไม่ไป พี่เราเลยยกเลิกไม่ไปตามไปด้วย) หรืออย่างไปทำงานที่อเมริกาก็เหมือนกัน คงมีไม่กี่บริษัทที่ พอไม่มีงานให้พนักงานทำ แล้วจะส่งพนักงานไปทำงานที่ออฟฟิศต่างประเทศ ถ้าเป็นสมัยนี้เราว่าเขาคงเลือกจะเลย์ออฟคนมากกว่า

แต่ก็มีเรื่องที่หมอดูไม่แม่นเหมือนกัน แต่เราจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเขาดูอะไรไว้มั่ง ก็คงเหมือนกับคนส่วนใหญ่คนที่ไปดูหมอดูละมั้ง ที่มักจะจำได้แต่สิ่งที่หมอดูทายถูก ที่ทายไม่ถูกก็ลืมๆ ซะหมด (เราจำได้ได้เลาๆ ว่าเขาทายว่าเราจะได้แต่งงานตอนอายุเท่านั้น-เท่านี้ ซึ่งถ้าหมอดูพนันกับเราเรื่องนี้ หมอดูก็เสียชื่อเสียอนาคต!)

เราไม่รู้ตัวว่าหมดความเชื่อกับเรื่องหมอดูไปตอนไหน คิดว่ามันค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อย จนในช่วงปี (หรืออาจจะสองปี) ที่ผ่านมาเราก็หมดความเชื่อโดยสิ้นเชิง (เรายังอ่านคำทำนาย พวกดวงดาว-ราศี ตามหนังสือพิมพ์ นิตยสารอยู่บ้างนะ แต่ออกแนวอ่านขำๆ อ่านฆ่าเวลา ไม่ได้อ่านเอาสาระ)

อาจเป็นเพราะช่วงปีสองปีนี้มีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตเราที่ทำให้เรารู้สึก “ตาสว่าง” ขึ้น เริ่มเข้าใจว่าอะไรสำคัญกับชีวิตมากน้อยแค่ไหน (อะไรที่ไม่ถึงตาย ไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่) อะไรที่ทำให้เรามีความสุข-ความทุกข์ (สุข-ทุกข์ เกิดจากใจเราเป็นหลัก การมองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ รอบตัวเราทำให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น การรู้จักปล่อยวางหรือ มีสติมีสมาธิกับปัจจุบัน ทำให้เรามีความทุกข์น้อยลง) พอมองเห็นสัจธรรมของชีวิตมากขึ้น เราก็หมดความรู้สึกอยากจะรู้ว่าอนาคตเป็นยังไง

อืมม์ จะว่าไม่อยากรู้ว่าอนาคตเป็นยังไง ก็ไม่ถูกซะทีเดียว เรายังอยากรู้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าหมอดูจะบอกเราได้ว่าอนาคตเราเป็นอย่างไร เพราะอนาคตของเราขึ้นอยู่กับการกระทำของเราทั้งในอดีตและปัจจุบันต่างหาก แต่ถ้ามีหมอดูที่แม่นจริงๆ เขาอาจจะมีวิชาดี มีพลังสมาธิแก่กล้า สามารถ “มองเห็น” อนาคตได้จริงๆ เราก็กลับไม่อยากรู้อีกนั่นแหละ เพราะมันจะสนุกอะไรถ้าเรารู้ว่าพรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้าเราจะเป็นอะไร

เราว่าการไม่รู้ก็ทำให้เรามีจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกัน มันทำให้แต่ละนาที แต่ละวันมันมีค่าในตัวของมันเอง อันนี้เป็นความคิดที่เราได้จากตอนดูหนังเรื่องหนึ่ง (จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว) เขามีเครื่องที่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่ตอนหลังพระเอกก็ตัดสินใจทำลายเครื่องนี้ไป เพราะเขาบอกว่าถ้าเรารู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง เราจะอยู่ไปทำไม (เรานึกว่า ถ้าเรารู้ว่าเราจะอยู่ไปอีกกี่วัน จะตายวันไหน เพราะอะไร ชีวิตคงหมดความตื่นเต้นไปเลย)

วันก่อนเราบังเอิญได้ยินเพื่อนร่วมงานห้องข้างๆ โทรศัพท์คุยกับเพื่อน (คาดว่าเป็นเพื่อนร่วมเรียนด้วยกันในระดับใดระดับหนึ่ง) ได้ความว่าเขาแนะนำหมอดูให้เพื่อนคนนั้น ฟังน้ำเสียงแล้วเหมือนเป็นหมอดูที่ตัวเขาเองไปดูมาแล้ว เรารู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ เพราะเพื่อนร่วมงานเราเป็นผู้ชาย อายุเยอะกว่าเรา เราไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะเป็นที่เชื่อเรื่องหมอดู

เรารู้สึกว่าคนที่จะไปดูหมอดู จริงๆ แล้วเป็นคนที่กำลังต้องการที่พึ่งทางใจ หรือที่ปรึกษามากกว่า พอได้ยินว่าคนข้างห้องไปดูหมอดู ก็ทำให้สงสัยว่า เขาอาจจะกำลังรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร หรือรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงกับชีวิตหรือหน้าที่การงานอยู่หรือเปล่า ที่น่าสงสัยมากไปกว่านั้นคือ ไม่รู้เราเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ให้เขารู้สึกไม่ค่อยสุขเท่าที่ควรหรือเปล่า

แต่เราคงจะไม่ไปค้นหาคำตอบหรอก เรื่องนี้ก็คล้ายๆ กับอนาคตอ่ะนะ ไม่รู้ น่าจะดีกว่า!!

8 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านแล้วรู้สึกเหมือนคุณ nitbert เริ่มปลงๆกับชีวิตนะเนี่ย ;)

nitbert กล่าวว่า...

ปลงบ้าง เงินเฟ้อบ้าง แล้วแต่จังหวะเวลาน่ะ (อิอิ)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่เคยดูดวงเลย แต่เคยอ่านหนังสือดูดวงทั้งอี้จิง ไพ่ และหนังสือขำขันของหมอดู จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่เป็นของสำนักพิมพ์บงกช อ่านแล้วก็ขำขันดี

P'Puk กล่าวว่า...

"ไม่รู้เราเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ให้เขารู้สึกไม่ค่อยสุขเท่าที่ควรหรือเปล่า" >>> ชัวร์

แต่วิ มันชอบดูหมอมานานแล้วนะ มันเคยชวนเราไปดูที่นึง ก่อนเจอหน้าหมอ มันบอกว่า "ขอร้องฟังเฉยๆ อย่ากวนตีน" :P

nitbert กล่าวว่า...

Khun T, อี้จิงนี่ใช่ที่ใช้เหรียญทำนายหรือเปล่าอ่ะคะ

Pattra, ที่ได้ยินว่าไปดูดวงนี่ไม่ใช่คนนั้นนะพี่ เป็นอีกคนหนึ่ง :P ส่วนที่บอกว่าให้พี่ฟังเฉยๆ นี่ น่าจะบอกไว้ตลอดเวลานะ ไม่ใช่เฉพาะตอนไปดูหมอ 555

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ใช่แล้วครับ

Miu Hung กล่าวว่า...

bnqวันก่อน ไม่นานมานี่เองค่ะ รู้สึกว่าอยากดูดวงมากกกกก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นคนดูดวงเอาขำ คือ ดูแล้วก็จะจำอะไรไม่ได้ (ขี้เกียจจำ)เลยไม่รู้สักทีว่าแม่นหรือเปล่า
ช่วงนี้เป็นอย่างที่คุณบอกแหละค่ะ คือ รู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต ไม่รู้จะเลือกทางไหนดี
แล้วเพื่อนๆก็โจษจันกันมากว่ามีหมอดูพลังจิตคนหนึ่งเก่งมากๆ พิสูจน์มามากแล้ว
ตอนนั้นก็โวยวายอยู่ที่ทำงาน อยากไปๆ แต่หาเพื่อนไปดูด้วยไม่ได้ (เค้ารับดูเป็นกลุ่มต้องไปสามคนขึ้นไปค่ะ)
พอผ่านหลายๆวัน รู้สึกว่า เออ อย่างที่คุณบอกคือ จะรู้ไปทำไมหว่า เกิดเค้าทำนายว่าเรื่องดีๆที่รอคอยจะสมหวัง แล้วเราชะล่าใจไม่พยายาม อนาคตเราก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกก็ได้ แล้วถ้าเกิดผิดหวังเพราะการกระทำของตัวเองจริงๆ ใครจะรับผิดชอบ คุณหมอดูก็คงรับไม่ไหว แต่เค้าทายว่าเรื่องร้ายๆจะปรากฎ ก็อาจจะไม่มีกระจิตกระใจจะพยายามเปลี่ยนแปลงก็ได้ ท้ายที่สุดเรื่องราวจะร้ายไปอย่างนั้น เพราะหมดอาลัย
คิดได้อย่างนี้ก็ อืม..ไม่ไปดูดีกว่า

nitbert กล่าวว่า...

แสดงว่าอี้จิงนี่แหละที่พี่สาวเราเคยซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็ทำนายตัวเอง รู้สึกมันจะคล้ายๆ เสี่ยงทายมากกว่า เช่นว่าเรามีทางเลือกว่าจะทำอะไรสักอย่าง ก็ใช้อี้จิงทำนายว่าทำไปแล้วจะดีหรือไม่ดี ... เหมือนเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวไงชอบกล :)

อืมม์ วันก่อนเห็นโฆษณาในตึก มีหมอดูพลังจิตมา ยังนึกอยู่เลยว่าน่าจะไปทดลองพลังจิตของหมอ 555

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์