วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรียนรู้เพิ่มทุกวัน กับการใช้แม็ค (๒)

๑. สลับภาษาอังกฤษ-ไทย

เคยเขียนไปแล้วว่าการเปลี่ยนภาษาอังกฤษเป็นภาษาอื่น บนแม็ค คือกด Apple กับ Space Bar เราว่ามันไม่สะดวกเหมือนในวินโดวส์ที่กดปุ่ม ~ (Grave Accent) ปุ่มเดียว เรารู้สึกว่าตำแหน่งการกดไม่ค่อยถนัดมือเท่าไหร่ด้วย

พอเราใช้แม็คได้ซักพัก ก็ค่อยเรียนรู้ว่าเราเปลี่ยนปุ่ม Default ที่ตั้งมากับเครื่องได้ โดยไปที่ System Preference > Keyboard & Mouse > Keyboard Shortcuts แต่เท่าที่เราทดลองดู ก็พบว่าเราไม่สามารถเซ็ทสลับภาษาไทย-อังกฤษในปุ่มเดียวเหมือนในวินโดวส์ได้

สุดท้ายเราเลยเซ็ทปุ่ม Control + Grave Accent เป็นตัวสลับภาษา แต่ก็สร้างปัญหากับเราเล็กน้อย เพราะนอกจากต้อง "เขย่ง" กด ๒ ปุ่ม ก็ยังสร้างความสับสนให้กับสมองแก่ ๆ ของเรา เพราะเวลาใช้แม็คก็เผลอกดปุ่ม Grave Accent อย่างเดียว เวลาใช้วินโดวส์ก็เผลอกด Control + Grave Accent ต้องตั้งสติดี ๆ

อาทิตย์ก่อนเราซื้อหนังสือ Switching to the Mac มาอ่าน ทำให้ได้เริ่ม "รู้จัก" และ "เรียนรู้" การใช้แม็คแบบมีระบบมากขึ้น ในหนังสือเขาบอกว่าคีย์บอร์ดของแม็คสามารถ Map ไปเป็นตัวสัญลักษณ์พิเศษได้ ขึ้นกับว่าจะเลือกเป็น Mapping อะไร เช่น Symbol, Webding, Winding ซึ่งเราสามารถเปิด Keyboard Viewer ขึ้นมาดูว่าตัวที่สัญลักษณ์ที่เราต้องการพิมพ์ ตรงกับคีย์ไหนบนคีย์บอร์ด

Keyboard Mapping แบบนี้ บนแม็คใช้ได้ทุกโปรแกรม เราไม่แน่ใจว่าบนวินโดวส์มีหรือเปล่า แต่ปกติเวลาเราอยากพิมพ์สัญลักษณ์แปลก ๆ ในวินโดวส์เราต้องอาศัยคำสั่ง Insert Symbol ใน Word แล้วก็อปปี้ไปใส่โปรแกรมอื่น ๆ เช่น Excel (เพราะ Excel ไม่มีคำสั่ง Insert Symbol)

วันนี้เราอยากจะพิมพ์สัญลักษณ์ก็เลยทดลองใช้ Keyboard Viewer ตามที่หนังสือแนะนำ ความรู้ที่ได้โดยบังเอิญจากการทดลองนี้ คือ คีย์บอร์ดภาษาไทยที่เวลาพิมพ์ธรรมดา ก็จะเป็น ฟ ห ก ด ฯลฯ เวลาพิมพ์ตัว "ยกแคร่" ให้ได้ตัว ฤ ฆ ฏ โ ฯลฯ ก็กดปุ่ม Shift (อันนี้เป็นปกติเหมือนกับวินโดวส์ และพิมพ์ดีดทั่วไป)

แต่ใน Mapping ภาษาไทยของแม็ค พอกดปุ่ม Caps Lock คีย์บอร์ดภาษาไทยจะ Map ไปเป็นภาษาอังกฤษทันที (ต่างจากวินโดวส์ที่ กดปุ่ม Caps Lock จะเหมือนกดปุ่ม Shift ค้างไว้ เวลาพิมพ์จะได้ตัวยกแคร่ โดยไม่ต้องยกแคร่) และถ้ากดปุ่ม Shift ก็จะเป็นพิมพ์ตัวยกแคร่ในภาษาอังกฤษ

แบบนี้ทำให้เราสามารถสลับภาษาระหว่างไทย-อังกฤษบนแม็ค ด้วยการกดปุ่มเดียวได้เหมือนบนวินโดวส์แล้ว แถมปุ่มกดใกล้กว่า กดสะดวกกว่าด้วย... เย้.... :)

๒. เซฟไฟล์ Word ใน Pages (หรือเซฟไฟล์ MS Office ใน iWork)

Pages เป็นหนึ่งในโปรแกรมชุด iWork เทียบเท่ากับ Word ในชุด Microsoft Office เราสามารถเปิดไฟล์นามสกุล .doc ใน Pages ได้ แต่เวลาจะเซฟไฟล์ทุกครั้ง จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้ดูว่าจะเซฟเป็นไฟล์ชื่ออะไร ถ้าต้องการเซฟเป็น .doc เหมือนเดิมก็ต้องติ๊กในกล่องที่บอกว่าให้ Save Copy as Word Document

นอกจากนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งกด Save ไป และไม่ได้แก้ไขอะไร แต่เวลาจะปิดไฟล์ ก็จะโดนถามว่าจะเซฟไหมอีกครั้ง เสียเวลาและน่ารำคาญ

เราไปเสิร์ชหาคำตอบจากพี่กูเกิ้ล ได้ความว่าสามารถทำให้ Pages เซฟไฟล์ MS Word ได้เลย โดยไม่ต้องเลือก Save As ทุกครั้ง โดยเข้าไปแก้ไฟล์ Info.plist ของ Pages

หมายเหตุ - เพื่อความปลอดภัย ก่อนการแก้ไข ควรแบ็คอัพ Info.plist ไว้ก่อน

โดยไปที่ Applications > iWork09 > Pages คลิกขวาที่ Pages แล้วเลือก Show Package Contents จะเห็นไฟล์ชื่อ Info.plist ในโฟลด์เดอร์ Content

เปิดไฟล์นี้ด้วยโปรแกรม Properties List Editor (อันนี้เป็นโปรแกรมที่มากับ Apple's developer tools ซึ่งถ้าไม่ได้ลงในเครื่องจะใช้ Text Editor แก้ก็ได้ แต่มันจะซับซ้อนกว่า และใช้คำอธิบายข้างล่างนี้ไม่ได้) โดยคลิกขวาที่ Info.plist แล้วเลือก Open with Properties List Editor

ใน Properties List Editor คลิกรูปสามเหลี่ยมข้างหน้า Root เพื่อแตกรายชื่อออกมา แล้วคลิกรูปสามเหลี่ยมข้างหน้า CFBundleDocumentTypes ก็แตกรายการออกมา จะเห็นตัวเลข 0, 1, 2, ...

คลิกที่รูปสามเหลี่ยมข้างหน้าเลข 8 อันนี้เป็น Properties ของ Word Document จะเห็นบรรทัดที่เขียนว่า CFBundleTypesRole String Viewer เปลี่ยนคำว่า Viewer ให้เป็น Editor

คลิกรูปสามเหลี่ยมหน้าเลข 9 อันนี้เป็น Properties ของ Word 97-2004 Document ก็เปลี่ยน Viewer เป็น Editor เหมือนกัน

แก้แค่ 2 รายการนี้ ก็น่าจะพอสำหรับไฟล์ .doc ทั้งหมด เสร็จแล้วก็แล้วก็เซฟไฟล์

คราวต่อไปที่เปิดไฟล์ .doc ใน Pages ก็สามารถจะเซฟไฟล์ได้อย่างรวดเร็ว

เราได้วิธีการมาจากเว็บนี้ >> Lee Findlow ซึ่งเขา Capture หน้าจอมาให้ดูประกอบด้วย

ด้วยวิธีการคล้าย ๆ กันนี้ ก็สามารถจะเอาไปแก้ Info.Plist ใน Numbers (โปรแกรมที่เทียบเท่ากับ MS Excel) เพื่อให้เซฟไฟล์ .xls ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วได้เช่นกัน

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เวลาของผู้ซื้อ

ไทม์ฉบับล่าสุดมีบทความเรื่องวิธีรัดเข็มขัดสู้เศรษฐกิจ เขาบอกว่าในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแบบนี้ ใคร ๆ ก็หันมาต่อรองราคากันหมด ไม่ต้องสนใจแล้วว่าจะเป็นร้านค้าอะไร ใหญ่เล็กแค่ไหน ขอให้กล้าต่อรองหรือเรียกร้องเข้าไว้ คนขายกำลังจนตรอกก็ยอมในเรื่องที่ไม่เคยยอม

เขายกตัวอย่างคนที่เข้าไปซื้อของแล้วได้ลดราคาเพราะกล้าต่อรองราคา มีตั้งแต่เครื่องตัดหญ้า รองเท้าผ้าใบ นาฬิกาแบบสปอร์ต เครื่องประดับ ไปจนถึงของกิน

คนส่วนใหญ่ที่ไม่เคยต่อรองราคาอาจจะรู้สึกขัดเขินหรือไม่กล้า แต่พอได้ลองดูแล้วก็จะรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร และแถมออกจะรู้สึกว่าน่าสนุกด้วยซ้ำ (ก็ประหยัดเงินได้นี่นา)

สำหรับมือใหม่หัดต่อฯ ไทม์มี instruction ให้ด้วย คือให้พิมพ์โฆษณาของชนิดเดียวกันที่ร้านอื่นหรือในอินเทอร์เน็ตขายถูกกว่า แล้วเอาไปโชว์ให้ที่ร้านที่เราจะซื้อ ขอให้เขาขายในราคาเดียวกัน ถ้าพนักงานขายไม่ยอมหรือไม่สนใจ ให้ขอคุยกับผู้จัดการ ส่วนใหญ่ผู้จัดการจะมีอำนาจตัดสินใจมากกว่า และมักจะยอมลดราคาให้ลูกค้า ถ้าเห็นว่าลูกค้าตั้งใจจะซื้อของแน่ ๆ แต่พร้อมที่จะเดินออกไปซื้อร้านอื่น

วิธีที่เขาแนะนำ ไม่รู้ว่าเอามาใช้ที่เมืองไทยจะเวิร์คหรือเปล่า แต่เท่าที่เราสังเกตเห็น คนที่มีกำลังซื้อในเมืองไทยตอนนี้ ทั้งสินค้าและบริการ มีโปรโมชั่นลดราคา มีของแถม ออกมาเรื่อย ๆ ถึงต่อรองไม่เก่งแต่ถ้ารอจังหวะดี ๆ ก็จะได้ของที่คุ้มราคากว่าตอนเศรษฐกิจดี ๆ เยอะเลย

หลังจากอ่านบทความในไทม์ไป วันนี้น้องที่ออฟฟิศเพิ่งได้ลูกสาว เราก็เลยไปซื้อพระเล็ก ๆ ให้เป็นของขวัญ เราเคยไปซื้อที่ร้านนี้หลายครั้งแล้ว ไม่เคยต่อรองราคา เขาบอกราคามาเท่าไหร่ เราก็แค่ถาม (พอเป็นธรรมเนียม) ว่าลดราคาได้ไหม เขาก็จะลดเศษให้ (พอเป็นธรรมเนียมเช่นกัน) ก็เป็นการปิดการขาย

วันนี้เรานึกยังไงไม่รู้ พอเขาลดเศษให้ (ตามธรรมเนียม) เราถามว่าลดอีกไม่ได้เหรอ เขาก็เฉย ๆ เราก็เลยลองต่อราคาดู ทั้งที่ใจก็คิดว่า ถึงไม่ลดราคาให้เราก็ซื้ออยู่ดี ปรากฏว่าผิดคาด คือเขายอมลดราคาให้ (แต่พนักงานแปลกมากเลย พอเขายอมลดราคาให้เรา สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นอารมณ์เสียทันที แถมไม่ยอมเอาถุงให้เราด้วย งงจริง ๆ)

สรุปว่า เป็นแบบที่ในไทม์บอก คือ ในจังหวะนี้ การต่อรองราคาไม่ใช่เรื่องของโชค บางทีแค่เอ่ยปากก็สำเร็จแล้ว... (คนไม่มีทักษะในการต่อรองราคาอย่างเรายังทำได้เลย ฮ่า ๆ )

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์