วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

จบชีวิตผู้บริจาคโลหิตสภากาชาดไทย

คราวก่อนที่เขียน ชักชวนให้ไปบริจาคเลือด เราเล่าว่าบริจาคเลือดมายี่สิบกว่าครั้งแล้ว ผ่านมาเกือบสองปี เราเพิ่งบริจาคเพิ่มได้แค่ครั้งเดียว เพราะหลัง ๆ นี้ ไปบริจาคแล้วตรวจความเข้มข้นเลือดไม่ผ่าน

เจ้าหน้าที่ก็ให้ยาบำรุงเลือดมากิน คนทั่วไปเขาให้กินวันละเม็ด แต่ของเราเขาบอกให้เรากินเช้าเย็น คนอื่น ๆ ที่บริจาคเลือดแล้ว เขาไม่กินยาบำรุงเพราะเลือดเข้มข้นดี เขาก็เอายามาให้เรากิน เรากินจนหมด ไปตรวจใหม่ก็ยังไม่ผ่าน

ความจริงก็คือ เม็ดเลือดเราเล็กผิดปกติ มีฮีโมโกลบินต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ตอนตรวจสุขภาพประจำปีทีไร เรื่องความเข้มข้นของเลือดก็จะเป็นเรื่องที่หมอทักอยู่ทุกปี เมื่อสองปีที่แล้วเราก็เลยลองตรวจดูว่าเป็นธาลัสซีเมียหรือเปล่า ตรวจแล้วก็ได้ผลแค่ว่าเราน่าจะเป็นแค่พาหะ ไม่ต้องทำอะไร แค่ให้กินอาหารที่มีธาตุเหล็กเยอะ ๆ ก็พอ

ความจริงก็น่าสงสัยว่าโรคอย่างธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรม ก็ต้องเป็นมาแต่กำเนิด ทำไมสมัยก่อนเราถึงบริจาคเลือดได้ทุกสามเดือนไม่มีปัญหาอะไร เราเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องของ “วัย” :P สมัยเด็ก ๆ ร่างกายยังสดใหม่ ผลิตเม็ดเลือดได้มีคุณภาพกว่า พอสมัยนี้ก็... เป็นไปตามวัยอ่ะนะ -_-” แต่ถ้าเราออกกำลังบ่อย ๆ ร่างกายฟิต ๆ กินยาบำรุงเลือดเสริมเข้าไป ไปตรวจเลือดก็จะได้พอดีเกณฑ์ที่เขารับบริจาคพอดี

อีกอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นที่การตรวจความเข้มข้นเลือดของสภากาชาดเปลี่ยนไป เมื่อก่อนใช้วิธีเอาเลือดหยดในสารละลาย แล้วดูว่าเลือดจมได้เร็วหรือช้า ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของคนตรวจ บางทีเขาก็หยวน ๆ เอา แต่สมัยนี้เปลี่ยนเป็นตรวจโดยใช้กระดาษแล้วเทียบสี ถ้าคนที่ดูแล้วน่าสงสัยว่าเลือดจาง ก็จะตรวจด้วยเครื่องซ้ำอีกที พอตรวจได้แม่นยำขึ้น เราก็เลยตรวจไม่ผ่านอยู่เรื่อย

เมื่อวานนี้เราไปบริจาคเลือดที่สภากาชาด ตั้งใจมาก ๆ เพราะกินยาธาตุเหล็กวันละ ๓-๔ เวลา (เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน) มาเป็นเดือน ๆ ปรากฏว่าไปถึงแล้วบริจาคไม่ได้ ยังไม่ทันได้ตรวจความเข้มข้นของเลือดด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้สภากาชาดเพิ่มกฎเกณฑ์ใหม่เข้าไป คือจะต้องไม่เคยรับเลือดหรืออยู่ในประเทศอังกฤษเกิน ๖ เดือนในช่วงปี ๒๕๒๓-๒๕๓๙ เราไปเรียนปี ๙๓-๙๔ ก็ตกอยู่ในช่วงนั้นพอดี

เขาก็บอกว่าเราบริจาคเลือดไม่ได้ เราก็อึ้งไปเล็กน้อย ถามว่าไม่ได้ไปตลอดเลยเหรอ เขาก็บอกว่าใช่ ไม่มีวิธีที่เราจะกลับมาบริจาคได้อีกเหรอ เขาบอกว่าไม่มี ถ้าอยากช่วยก็คงต้องเป็นการบริจาคเงินแทน เขาเพิ่งออกกฏใหม่ข้อนี้เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่โรควัวบ้าระบาด เป็นกฏใหม่ที่เพิ่งใช้เมื่อเดือนเมษายนปีนี้เอง

เราขับรถกลับมาบ้านก็ยังคาใจว่า มันบริจาคไม่ได้ไปตลอดจริง ๆ เหรอ มันไม่มีวิธีตรวจเพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้รับเชื้อมาหรือไง พอกลับมาก็เลยมาลองปรึกษาพี่กูเกิ้ลดู พี่กูเกิ้ลพาไปที่ redcross.org เขาบอกว่าเคยมีกรณีคนป่วยเป็นโรควัวบ้าเพราะได้รับเชื้อจากการบริจาคเลือด และในขณะนี้ยังไม่มีวิธีตรวจเลือดในคนที่จะดูว่ามีเชื้อหรือไม่ เลยต้องงดรับบริจาคโลหิตจากคนที่มีโอกาสจะติดเชื้อนี้ไปก่อน (ในอเมริกามีกฎเกณฑ์ห้ามมากว่าเมืองไทยหลายข้อ) ก็เลยเป็นการคอนเฟิร์มว่าเราจบชีวิตการเป็นผู้บริจาคโลหิตสภากาชาดไทยซะแล้ว จากนี้ไปเป็นได้แค่ผู้บริจาคเงินเท่านั้น...

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์