วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

บทเรียนชีวิต ๓

ตอนต่อของต่อเรื่องบทเรียนที่พ่อแม่ควรสอนลูก (เพราะโรงเรียนไม่ได้สอน) หลังจากตอนแรก สอนลูกเรื่องการเงิน และตอนที่สอง สอนลูกเรื่องการคิด วันนี้มาตอนที่ ๓ สอนลูกเรื่องความสำเร็จ หัวข้อเหล่านี้เป็นสิ่งพ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูก เพื่อช่วยให้เขาประสบความสำเร็จและมีความสุขกับชีวิตเมื่อเขาโตขึ้น

สอนลูกเรื่องความสำเร็จ

๑. การคิดบวก – ในขณะที่การคิดแบบวิเคราะห์เป็นทักษะที่สำคัญมาก แต่การมองโลกในทางบวกก็สำคัญมากเช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ ในโลกอาจจะเลวร้าย ชีวิตอาจจะเต็มไปด้วยปัญหา แต่ทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ สอนให้ลูกพยายามหาทางแก้ไขในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่น่าพึงพอใจ แทนที่จะเอาเวลาไปบ่นคร่ำครวญ

สอนให้เขารู้ว่าบางครั้งก็มีปัญหาบางอย่างที่ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะแก้ไขได้ (แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องได้พยายามคิดแก้ไขปัญหานั้นอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ไม่สามารถแก้ไขได้) เขาก็ควรจะรู้จักปล่อยวางและยอมรับ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง และกำจัดความคิดในทางลบเกี่ยวกับตัวเองออกไป

๒. แรงจูงใจ – สอนให้ลูกรู้ว่า กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ ความมีวินัยเพียงอย่างเดียว แต่ แรงจูงใจ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก พ่อแม่ควรสอนให้เขารู้จักสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง ให้เขาได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่จะได้รับเมื่อเขาสามารถทำได้สำเร็จตามเป้าหมาย ลองสอนให้ลูกเริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่สามารถทำสำเร็จได้ไม่ยาก แล้วค่อยๆ พัฒนาไปสู่สิ่งที่ยากและท้าทายความสามารถมากขึ้น

เรื่องของการสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าเด็กสมัยนี้มีอยู่น้อยมากๆ เราไม่ค่อยเห็นว่าเด็กสมัยนี้จะอยากทำอะไร (ที่ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง) ถ้าไม่มีใครมาบอกหรือสั่งให้ทำ และกระทั่งมีคนบอกหรือสั่งให้ทำแล้ว ก็ยังต้องคอยชักจูงชี้นำตลอดเวลา ในความรู้สึกเราพ่อแม่สมัยนี้ กำลังเลี้ยงลูกเหมือนเป็นเด็กพิการ ต้องคอยปกป้องดูแล ตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้ พ่อแม่อาจจะลืมนึกไปว่า ลูกต้องโตขึ้น พ่อแม่ต้องแก่ตัวลง ไม่สามารถจะอยู่ปกป้องดูแลลูกไปได้ตลอดชีวิต พ่อแม่น่าจะให้เขาได้เผชิญอุปสรรคและความยากลำบากในขณะที่พ่อแม่ยังอยู่คอยช่วยชี้นำเขาได้ ให้เขามีโอกาสได้ฝึกหัด เพื่อที่เขาจะได้พร้อมรับมือกับปัญหาในเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว

๓. นิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง – นี่เป็นปัญหาที่เราแทบทุกคนต้องเจอในฐานะผู้ใหญ่ เพราะแน่นอนว่าย่อมมีบางเวลาที่เราไม่อยากทำงาน รู้สึกเกียจคร้าน ไม่อยากทำงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ อยากจะทำแต่เรื่องสนุกสนาน แต่เราทุกคนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ พ่อแม่ควรจะสอนให้เขารู้ว่าจะบังคับตัวเองให้ทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ได้อย่างไร อธิบายให้เขาเข้าใจต้นเหตุและผลที่จะตามมาของการผลัดวันประกันพรุ่ง และวิธีการแก้ไข

เรื่องที่ควรจะฝึกตั้งแต่เล็กๆ คือ ความรับผิดชอบในการเรียน (การทำการบ้านหรืออ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ) การแบ่งเวลาระหว่างเรื่องที่เป็นหน้าที่กับเรื่องที่เป็นกิจกรรมเพื่อความสนุกสนานบันเทิง (การเล่นเกมส์ อ่านหนังสือการ์ตูน ดูทีวี หรือเล่นกีฬา) ต้องให้ลูกรู้จักจัดการเวลาอย่างเหมาะสม อย่าปล่อยปละละเลยจนสายเกินไป (อย่าปล่อยให้ลูกเล่นเกมส์หรือดูทีวีจนดึก ทำให้ไม่ได้ทำการบ้านหรือนอนตื่นสายไปโรงเรียนสาย ฯลฯ)

๔. ความรักและศรัทธาอย่างแรงกล้า – หนึ่งในวิธีที่จะประสบความสำเร็จคือ การค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักและศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะทำ และทำให้มันเป็นสิ่งที่สามารถเลี้ยงชีพได้ ลูกของคุณอาจจะยังไม่รู้ว่าเขารักที่จะทำอะไรตอนที่เขายังอายุน้อยๆ แต่พ่อแม่ต้องให้โอกาสเขาได้ค้นหาสิ่งที่เขาอยากจะทำ และวิธีที่จะสามารถก้าวไปตามความรักและความฝันของเขาได้

ในบทความต้นฉบับเขาเขียนเรื่องความสำเร็จไว้แค่นี้ แต่เราอยากจะเสริมเรื่อง “ความอดทน” และ “การทำงานหนัก” ไว้ด้วย

สังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบความสบาย ชอบของฟรี ชอบของที่ได้มาง่ายๆ เวลาที่เราบอกเล่าเรื่องของคนที่ประสบความสำเร็จ เราไม่ค่อยเน้นถึง “หนทาง” ที่แต่ละคนต้องฝ่าฟัน แต่เน้น “ปลายทาง” คือ ความสะดวกสบายหลังจากประสบสำเร็จแล้ว ทำให้ใครๆ ก็อยากจะประสบความสำเร็จ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หลายๆ คนก็พยายามจะหาเคล็ดลับของความสำเร็จ และหวังว่ามันจะต้องเป็นเคล็ดลับที่ง่ายๆ สบายๆ ด้วย

เราว่าความสำเร็จไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย ความจริงที่ชัดเจน คือ ต้องมีความอดทน และทำงานหนัก แต่คนมักไม่อยากจะยอมรับความจริงแบบนี้ เพราะมันเหนื่อย มันลำบาก มีแต่คนที่อยากจะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องลงมือทำ ไม่ต้องทุ่มเท ไม่ต้องอดทน

คนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คน ล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้ม อยู่นับครั้งไม่ถ้วน การมีแรงจูงใจ การมีความรักอย่างแรงกล้าในสิ่งที่จะทำ การคิดบวก อาจจะช่วยเรามีแรงที่จะล้มแล้วลุกได้หลายๆ ครั้ง แต่คำตอบสุดท้ายของการไปสู่ความสำเร็จก็คือ ต้องอดทนและทำงานหนัก

อ่านต่อ ตอนที่ ๔ สอนลูกเรื่องสังคม

10 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นว่าที่ผมตัดสินใจไม่มีลูกนี่ถูกต้องแล้ว (แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆนะครับ)

nitbert กล่าวว่า...

ช่วยขยายหน่อยสิคะคุณ mymoney ว่าตรงไหนที่ทำให้คิดเช่นนั้น...

mama aiko กล่าวว่า...

เดาว่าคงจะรู้สึกว่าการเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี มีคุณภาพและมีความสุขในสังคมแบบนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องยากลำบากสุดๆ หรือเปล่า

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คือผมรู้สึกเป็นการส่วนตัวมาสักระยะนึง (ก็นานพอดู) แล้วว่าเด็กรุ่นหลังๆนี้ทำไมคุณภาพมันด้อยลง (เหมือนกับที่คนรุ่นผมด้อยลงกว่าคนรุ่นก่อนหน้าเหมือนกัน) ยิ่งช่วงหลังที่ต้องมาหาเด็กมาทำงานร่วมทีมก็ยิ่งขัดใจ ทำไมมันเป็นอย่างนี้กันเกือบจะหมดเลย (วะ)?

ริเริ่มงานเองไม่เป็น ขาดความคิดสร้างสรรค์ ขาดความอดทน อยากจะ get rich quick อยากได้เงินเยอะๆ ทำงานน้อยๆ ฯลฯ (เขียนมากจะกลายเป็นคนแก่ขี้บ่นเสียเอง)

ผมก็นึกว่าผมรู้สึกอยู่กันสองคน (กับผบ.ทบ.ที่เจอเหมือนกันเด๊ะเลย)

พอมาได้อ่านที่คุณ nitbert เขียนก็ยิ่งคอนเฟิร์มว่า อ้าว ไม่ใช่ตูรู้สึกไปเองคนเดียวนี่หว่า คนอื่นเขาก็รู้สึกเหมือนกัน แสดงว่านี่มันปัญหาใหญ่เกินกว่าที่ผมเจอแล้วล่ะ

จริงๆจะไปโทษเด็กรุ่นนี้ก็ไม่ได้ ต้องโทษคนรุ่นเรานี่แหละ เพราะเราเป็นคนเลี้ยงเขามา สิ่งเร้าทั้งหลายที่ก่อปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็มาจากความคิดและการทำธุรกิจของคนรุ่นเรานี่แหละ

แล้วก็ไม่รู้จะแก้ยังไง ขนาดโรงเรียนที่น่าจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดเป็นอันดับสองรองจากบ้าน เดี๋ยวนี้ยังต้องระวังกันเลย

เฮ้อ...รู้สึกตัวว่าบ่นมากเหมือนคนแก่เลย ขอโทษด้วยครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถ้าการสอนลูกมีจำนวนข้อที่ต้องนั่น ต้องนี่ มากมายขนาดนี้ แสดงว่าสภาพสังคม สภาพแวดล้อม รอบตัวเด็กมันเสื่อมเกินไปแล้วครับ

ถ้ามีลูก ผมต้องเตรียมสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมที่ดีพอควรไว้ให้ลูก อย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับที่ผมเคยผ่าน ผมอาจจะสอนเค้าไม่ได้ดีนัก แต่แกจะมีครูดีๆ รอบๆ ตัวแกคอยช่วยแนะช่วยนำ

ผมไม่ยอมสอนลูกว่ายน้ำ ในน้ำครำ น้ำเน่า แน่ๆ

nitbert กล่าวว่า...

หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ เราสรุปได้ว่า ๑. พ่อแม่เป็นยังไง ลูกก็จะเป็นอย่างนั้น "และ" ๒. พ่อแม่เลี้ยงให้ลูกเป็นยังไง ลูกก็จะเป็นอย่างนั้น

ลูกที่เกิดมา เป็นผลลัพธ์ของทั้ง ๒ ข้อ

พ่อแม่สมัยนี้ เป็นคนที่มีหน้าที่การงานที่ดี ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่กลับ "เลี้ยง" ลูกให้เหมือนตัวเองไม่ได้ เพราะเข้าใจผิดๆ ว่าการเลี้ยงลูกให้ดี คือ การให้ความสะดวกสบายทุกอย่าง

แต่ ชีวิต คือ ความยากลำบาก แทนที่พ่อแม่จะสอนลูกให้ จัดการ แก้ไข ยอมรับ กับความยากลำบากในชีวิต ก็กลับพยายายาม กำจัด ความยากลำบากในชีวิต ให้ลูก ซึ่ง มันผิดธรรมชาติ

สิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีอิทธิพลสูงมาก ถ้ารอบๆ ตัวลูก มีแต่น้ำครำ น้ำเน่า ก็ต้องสอนเขาว่าจะทำยังไง ไม่ให้ "จม" น้ำครำ สอนให้เขาสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองให้ได้ แล้วก็สอนให้เขาเปลี่ยนน้ำเน่าให้เป็นน้ำดีให้ได้ (เป็นงานที่ยากมากๆ แต่ก็ต้องแต่ก็ต้องไม่หมดหวัง...)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ยากจริงๆ ครับ คนหัดว่ายน้ำ ยังไงมันต้องสำลักน้ำ ในน้ำเน่าก็เชื้อโรคทั้งนั้น กินสมอง กินหัวใจ เละเทะหมด

ผมถีบมันลงบ่อน้ำในสวนดีกว่า ให้มันมีอายุยืนยาว และแข็งแรงพอที่จะช่วยเปลี่ยนน้ำเน่าให้เป็นน้ำดีได้ในวันข้างหน้า

มันมีพ่ออย่างผม (ถ้ามีนะ) ชีวิตมันก็ลำบากมากพอแล้วครับ อย่างน้อยให้มันรู้จักสายลม แสงแดด รู้จักอารี อาทร บ้างก็ยังดี

แต่ที่แน่ๆ ยังหาแม่มันไม่ได้เลยอ่ะ

T_T

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อย่ามาทำฟอร์มน่าสงสารเลยน้องเอ้ ไม่มีใครตกหลุมเอ็งหรอก เขารู้ทันกันหมดแล้วมุขนี้น่ะ

nitbert กล่าวว่า...

คุณ podduang อ่านขาดจริงๆ (สงสัยเคยใช้มุขนี้มาก่อน แล้วโดนจับได้เหมือนกัน เอิ๊กๆๆ)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ้าว...พวกกันเล่นกันซะแล้ว ก็ใครอ่ะที่สอนน้องสอนนุ่งมาอย่างงี้ ครูคิดล้างศิษย์นี่หว่า

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์