วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2551

ไอเดียดีจากจิตแพทย์

เราฟังรายการ “มองชีวิตมีชีวา” ทางวิทยุช่อง ๙๖.๕ ค่อนข้างบ่อย เพราะเป็นเวลาขับรถกลับบ้านพอดี รู้สึกชื่นชมวิทยากรประจำท่านหนึ่งคือ นพ. อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่มักจะมีมุมมองในการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายแต่ก็น่าสนใจ

คุณหมอมักจะเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ท่านปฏิบัติเป็นประจำ ที่เรารู้สึกว่าน่าทำตาม บางคนอาจจะคิดว่ามันเล็กๆ น้อยๆ ไม่สำคัญ แต่เราคิดว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละดี เพราะเราค่อยๆ ทำ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก ไม่ต้องทุ่มเทมากเกินกำลัง

แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย

เมื่อวานเราได้ฟังคุณหมออุดมศิลป์พูดเรื่องที่ว่า เวลาท่านตรวจคนไข้ (คุณหมอเป็นจิตแพทย์) ท่านจะไม่ได้นั่งรออยู่ในห้องแล้วให้พยาบาลเรียกคนไข้เข้ามา แต่จะถือการ์ดคนไข้นอก ออกไปตรงบริเวณที่คนไข้นั่งรอ แล้วก็เรียกชื่อคนไข้ ท่านบอกว่าการวินิจฉัยโรคของท่านเริ่มตั้งแต่ตรงนั้นเลย

คุณหมอจะสังเกตเวลาคนไข้ตอบสนองต่อเสียงเรียก ถ้าเป็นคนไข้ไฮเปอร์ ก็อาจจะแทบกระโดดออกมาทันทีที่สิ้นเสียงเรียก ส่วนคนไข้ที่ซึมเศร้าอาจจะต้องให้เรียกซ้ำสองรอบสามรอบ การเดินเหินของคนไข้ก็บอกได้ถึงสภาพร่างกายและสุขภาพโดยทั่วไป ท่านจะสังเกตไปถึงขนาดว่า คนไข้มากับใคร เป็นพ่อแม่ สามีภรรยา หรือญาติพีน้อง เวลานั่งรอนั่งรอกันอย่างไร นั่งใกล้ชิดกันหรือนั่งคนละมุมห้อง ก็บอกถึงสภาพความสัมพันธ์ของคนไข้กับผู้อื่นได้

หลังจากที่ตรวจคนไข้เสร็จแล้ว คุณหมอก็จะเดินออกไปส่งคนไข้ถึงประตูห้องทุกคน ถือเป็นการให้เกียรติคนไข้ ที่เลือกจะมารักษากับท่าน คุณหมอบอกว่าคนไข้ก็คงรู้สึกดีที่ท่านทำแบบนั้น แล้วก็ถือโอกาสมองดูคนไข้คนอื่นๆ ที่รออยู่ไปด้วย อาจจะมีการส่งยิ้มหรือทักทายคนไข้ที่ยังไม่ถึงคิวนิดหน่อย ก็จะช่วยลดความกระวนกระวายในระหว่างรอไปได้บ้าง

คุณหมอบอกว่าการที่คุณหมอเดินมาเรียกคนไข้เองและส่งคนไข้เอง ที่จริงแล้วตัวคุณหมอเองได้ประโยชน์ไปเต็มๆ เพราะท่านได้ขยับเขยื้อนร่างกาย ไม่ต้องนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตลอดเวลาทำงานของท่าน คือ เช้า ๓ ชั่วโมง เย็น ๓ ชั่วโมง

ท่านยังบอกอีกว่า เวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อยขบจริงๆ บางทีท่านก็จะขอเวลานอกซัก ๕ นาที แล้วก็ไปที่ช่องบันได เดินขึ้นบันไดซัก ๕ ชั้น ลง ๕ ชั้น แล้วก็กลับมาตรวจต่อ นับว่าท่านเข้าใจหาวิธีออกกำลังกายที่เหมาะกับอาชีพของท่าน แถมยังได้ประโยชน์กับคนอื่นอีกด้วย

เรานึกถึงวันทำงานของเรา แทบจะไม่ได้เดินไปไหนเลย ยิ่งมีอีเมลก็ยิ่งทำให้ไม่ต้องขยับตัวออกจากเก้าอี้ เพราะโต้ตอบงานผ่านอีเมล หลังๆ นี้ถ้ามีโอกาสที่เราจะใช้วิธีเดินไปคุยเรื่องงานแทนการส่งอีเมลได้ เราก็จะเดินไปคุยแทน แต่วันๆ หนึ่งเราก็ยังเดินไม่มาก บางวันเดินไปแค่หนึ่งพันเก้า (นี่รวมเดินไปกินข้าวตอนกลางวันแล้วด้วยนะ) เคยได้ยินเขาแนะนำว่าถ้าสามารถเดินได้วันละ ๑ หมื่นก้าว ก็ได้ออกแรงพอๆ กับออกกำลังกาย ๓๐ นาทีแล้ว แต่ที่เราเดินออกกำลังกายบนลู่วิ่ง ๓๐ นาทีได้ประมาณ ๔ พันก้าวเท่านั้น

ความจริงเรื่องเดินขึ้นลงบันได เราก็ทำอยู่บ้าง เวลาไปห้างสรรพสินค้าเราก็เดินบันไดแทนการใช้บันไดเลื่อน เวลาไปออกกำลังกายเสร็จ เราก็จะเดินลงบันได (ขาขึ้นไม่ได้เดิน เพราะเรามักจะไปสาย ถ้าต้องรีบวิ่งขึ้นบันได ๑๑ ชั้น อาจขาดใจตายได้) แต่ที่ออฟฟิศเราไม่ได้ใช้บันได เพราะชั้นที่เราทำงานไม่มีบันไดธรรมดา เขาจะมีบันไดธรรมดาถึงแค่ชั้นที่จอดรถ (ชั้น ๙) หลังจากนั้นจะเป็นบันไดหนีไฟ ซึ่งประตูจากช่องบันไดหนีไฟเป็นประตูเปิดทางเดียว คือเปิดออกจากออฟฟิศออกไปช่องบันไดหนีไฟได้ แต่จากช่องบันไดหนีไฟ เปิดเข้ามาออฟฟิศไม่ได้

แต่เมื่อวานเราเพิ่งนึกได้ว่าเราสามารถเดินขึ้นบันไดมาจนสุดชั้นจอดรถ (๙ ชั้น) แล้วก็ค่อยมาต่อลิฟท์อีก ๕ ชั้นเข้าออฟฟิศ วันนี้ไปกินข้าวเสร็จก็เลยเดินขึ้นบันไดมา ได้เดินเพิ่มขึ้นอีกร้อยกว่าเก้า :)

คุ้มค่า รักษาความสะอาด และรักษาสิ่งแวดล้อม

อีกเรื่องที่เราฟังคุณหมออุดมศิลป์พูดในรายการ แล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ดี ก็คือ การใช้กระดาษเช็ดมือ

ท่านบอกว่าเวลาท่านเข้าห้องน้ำ พอล้างมือเสร็จแล้ว เช็ดมือด้วยกระดาษแล้ว ท่านก็มักจะเอากระดาษที่เช็ดมือแล้ว ไปเช็ดน้ำที่กระเซ็นรอบๆ อ่างล้างมือก่อน แล้วค่อยทิ้ง ท่านนอกว่าช่วยรักษาความสะอาดของห้องน้ำ คนที่มาใช้ทีหลังก็จะรู้สึกสบายใจสบายตา

นับว่าเป็นการทำประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนอื่นโดยที่ไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย แล้วก็ยังได้ใช้กระดาษเช็ดมืออย่างคุ้มค่า ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

หลังจากฟังเรื่องนี้แล้ว เวลาเราล้างมือและเช็ดมือด้วยกระดาษแล้ว เราก็เอากระดาษเช็ดรอบๆ อ่างล้างมือด้วยเหมือนกัน :)

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นั่งทำงานอยู่ก็หมุนแขนหมุนคอบ้างนะครับ ป้องกันอาการปวดคอ-หลัง-ไหล่ โรคยอดฮิตของ "สัตว์ที่ถูกล่ามอยู่กับคอมพิวเตอร์" (หมายถึงตัวผมเองนะ) 8)

nitbert กล่าวว่า...

นอกจากนี้ เวลาทำงานแล้วเครียดเพราะหัวหน้างี่เง่า ก็หมุนแขนไปแรงๆ ไกลๆ กะให้ตรงแถวกกหูคู่ต่อสู้ เอ้ย... หัวหน้า จะช่วยลดความเครียด และป้องกันเส้นเลือดสมองแตกได้ >:)

เอ่อ... ข้างบนนั้นเป็นสิ่งที่คิดทำในใจอ่ะนะ ความจริงก็คือ ให้หมุนคอ หันหน้าไปข้างๆ แล้วแอบด่าหัวหน้าแบบไม่ให้รู้ตัว แล้วหันกลับมาตอบว่าได้ค่ะ โอเคค่ะ :P แหะๆ

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์