วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ดูแลสุขภาพ

เมื่อคืนดูรายการตาสว่าง เขาเชิญอาจารย์ สาทิสอินทรกำแหง ที่ทำเกี่ยวกับพวกชีวจิตมาออกรายการ พร้อมกับผู้ร่วมรายการอีก 3 คนที่เป็นมะเร็งที่รักษากับอจ.ด้วยแนวทางชีวจิตแล้วหาย

คนหนึ่งเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บอกว่าก่อนรักษาแบบชีวจิต ทำคีโมไป 2 คอร์ส คอร์สแรกทำเสร็จ (8 ครั้ง) คอร์สที่สองทำได้ถึงครั้งที่ 2 หรือครั้งที่ 3 นี่แหละ แล้วก็ไม่ทำต่อ เขาบอกว่า ตอนนั้นร่างกายอ่อนแอมากๆ รู้ตัวเลยว่าถ้าทำอีกครั้งต้องตายแน่ๆ เพราะคีโมฆ่าทั้งเซลล์มะเร็ง และฆ่าเขาด้วย

เขาบอกว่าหมอพูดกับเขาว่า “ถ้าคุณมีเรื่องอะไรสำคัญๆ ก็ให้รีบทำนะ” เขาได้ยินแล้วก็นึกในใจว่า “เฮ้ย... แบบนี้มันตายชัดๆ” ก็เลยเลิกคีโม แล้วหันไปหาชีวจิต ตอนนี้อยู่มาได้ 2 ปีกว่าๆ แล้ว เขาไม่ได้ไปตรวจนับเซลล์มะเร็งต่อ แต่รู้สึกสบายดีมากๆ ต่างจากตอนที่ทำคีโมมาก ตอนนั้นทั้งอ่อนแอ ทั้งทุกข์ทรมานจนนึกว่าไม่กลัวตายแล้ว (เพราะตายน่าจะสบายกว่า) ร่างกายแข็งแรงดี สามารถวิ่งมินิมาราธอน 10 กม. ได้สบายๆ

อีกคนหนึ่งเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ผ่าตัดออก แล้วต่อมาตรวจเจอว่าว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อีก ก็ตัดออกแล้วหันมารักษาแบบชีวจิต เขาบอกว่าตอนแรกหมอก็จะให้รักษาโดยทำคีโมเหมือนกัน แต่ลูกๆ บอกว่าไม่ยอม ให้ลองไปรักษาทางชีวจิตดีกว่า สุดท้ายก็หาย อีกคนเป็นมะเร็งที่ลิ้น ตรวจเจอเร็ว ก็รักษาได้ (คนนี้เราไม่ค่อยได้ฟังเขาเล่า เพราะเปลี่ยนช่องกลับไปกลับมา ไม่รู้มากกว่าเขารักษายังไง)

ในรายการเขาไม่ได้คุยลงไปในรายละเอียดการรักษามากนักว่า แต่ละคนต้องทำอะไรบ้าง หรือต้องอึดทนแค่ไหน กว่าจะผ่านวันร้ายๆ กว่าจะหายดีและมีสุขภาพดีแบบนี้ได้ แต่เรามั่นใจว่าคงไม่ง่ายๆ เหมือนการรักษาแผนปัจจุบันที่ใช้ผ่าตัด ให้คีโม ฉายรังสี เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตและพฤติกรรม ซึ่งสำหรับบางคนอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง - จากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลยก็ว่าได้ - แต่เราคิดว่านี่ก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ - ถ้าคิดว่าร่างกายและสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต สำคัญมากกว่า เงินทอง ชื่อเสียง ความสุขสบายต่างๆ - คนที่ป่วยน่าจะยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจลงมือทำ อจ.สาทิสเองก็บอกว่า มันก็ไม่ได้ง่าย ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ หรอก

ถึงเราจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกินน้ำอาร์ซี การทำดีท็อกซ์ รำกระบอง ที่ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จที่เขาแนะนำให้กับคนที่จะใช้แนวทางชีวจิต (ถามว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วย เราก็ตอบไม่ได้ เพราะเราก็ไม่ได้ศึกษารายละเอียดจริงๆ ว่าเขาทำอะไรยังไง เอาเป็นว่าเป็นความไม่ค่อยเห็นด้วยอันเนื่องมาจากอคติและความโง่เขลาส่วนตัว) แต่คำแนะนำในการดูแลตัวเองที่เขาใช้คีย์เวิร์ดช่วยจำง่ายๆ ว่า “5 เล็ก” กับ “5 ใหญ่” ก็น่าจะเอามาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเรา และช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงได้ในระดับหนึ่ง เขาแนะนำไว้แบบนี้

5 เล็ก เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราเอง ร่างกายของเราเอง คือ 1. การกิน - กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ 2. การนอน - นอนหลับให้สนิท และนอนให้เพียงพอ 3. การทำงาน - ทำงานอย่าเครียด ถ้างานที่เครียด ไม่สนุก ก็ต้องพยายาม มองหามุมมองดีๆ ในงานนั้นๆ จะทำให้ทำงานอย่างมีความสุข 4. พักผ่อน อันนี้ก็คือ เพื่อลดความเครียดและเหนื่อยล้าจากการทำงาน บางคนอาจคิดว่าต้องเสียเงินเสียทอง ไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัด ต่างประเทศ อันนั้นอาจจะดีต่อความคิดและจิตใจ แต่ถ้าจะให้ดีต่อร่างกาย การพักผ่อนง่ายๆ คือ การหายใจให้เต็มปอด ยืดตัวตรง หลังตรง หายใจถูกวิธี ร่างกายจะมีแรง 5. การออกกำลังกาย - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรให้เหงื่อออกและชีพจรเต้น 120 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป เพราะร่างกายจะหลั่งเอ็นดอร์ฟิน และ “โกรธ” ฮอร์โมนออกมา (ไม่ใช่ ฮอร์โมนความโกรธนะ แต่เป็น growth ตะหาก) ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีกำลัง

5 ใหญ่ เป็นเรื่องภายนอก เกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา คือ 1. ใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ 2. ใช้ชีวิตเรียบง่ายและพอดี 3. ใช้ชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และรักกันอย่างพี่น้อง 4. สร้างความเป็นเลิศทางสุขภาพ (หมายถึง ใส่ใจดูแลตัวเอง ไม่ใช่อยากจะแข็งแรงดี ไม่มีโรค แต่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม อยากกินอะไรก็กิน ไม่ออกกำลังกาย ฯลฯ) 5. ใช้ชีวิตเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน (อันนี้เพื่อให้เกิดความผาสุกในบ้านเมืองและประเทศชาติ)

เราว่า ถ้าทุกคนพยายามทำ 5 เล็กได้ เราจะมีประชากรที่มีสุขภาพดี ลดปริมาณเงินทองหรืองบประมาณรัฐที่จะต้องเอาไปใช้รักษาคนป่วย และถ้าทุกคนทำ 5 ใหญ่ให้ได้ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่มีดัชนีความสุขมวลรวมสูงมากๆ

ทีนี้โยงจากเรื่องข้างบนอีกหน่อย พอดีช่วงนี้เป็นช่วงตรวจสุขภาพประจำปีที่บริษัทของเรา คนส่วนใหญ่ไปตรวจแล้วก็ไม่ได้อยู่รอฟังผลตรวจ พอประมาณสัปดาห์หนึ่งเขาก็จะส่งรายงานผลมาให้ที่บริษัท บางคนก็อ่านผลเข้าใจ แต่บางคนก็ไม่รู้เรื่องเลย เรื่องความดัน น้ำตาล โคเลสเตอรอล ฯลฯ แบบนี้บางทีตรวจร่างกายมาแล้วก็ไม่ค่อยได้ผลคุ้มค่าเท่าไหร่ สักแต่ว่าไปตรวจแล้วก็ได้รายงานเป็นเล่มๆ มา

พอดีวันนี้เราได้ฟอร์เวิร์ดเมลเรื่องการดูแลสุขภาพมา เป็น Power Point Presentation เรื่อง “การดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง” โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผอ. ศูนย์แพทย์อาชีวเวชศาสตร์กรุงเทพ เขาสรุปคำอธิบายเกือบทั้งหมดของรายการตรวจสุขภาพประจำปีเอาไว้ มีรายละเอียดดีมากๆ จนเราคิดว่าโรงพยาบาลทุกโรงพยาบาลน่าจะเอาไปพิมพ์แนบกับรายงานการตรวจสุขภาพประจำปี เพราะเป็นความรู้ที่คนที่ตรวจสุขภาพประจำปีควรจะได้รู้

แต่อย่างว่านะ บางคนก็อาจจะไม่สนใจ ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเรื่องสุขภาพสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนหนุ่มๆ สาวๆ และคนที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ เราได้ดูโฆษณาของโรงพยาบาล ที่เป็นคนหนุ่มๆ สาวๆ คุยกัน เขาจะบอกว่า ให้แต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดี จะได้หาคู่ครองได้ ให้ทำโน่นทำนี่ แต่ไม่เห็นมีใครเตือนให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี (เหมือนที่เขาบอกว่า แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ อ่ะนะ เราจะไม่รู้คุณค่าของสุขภาพดี จนกว่าเราจะไม่มีมันแล้ว อันนี้เรื่องจริงเลย)

กับอีกเรื่องหนึ่งคือ สังคมไทยไม่ใช่สังคมอุดมปัญญา คนไม่ค่อยสนใจจะไขว่คว้าหาความรู้ (บางทีไม่ต้องใฝ่หาด้วย ขนาดป้อนให้ก็ยังไม่รับ) โดยเฉพาะเรื่องที่เรื่องที่มันยุ่งยากซับซ้อน เรื่องที่มีสาระ หรือเรื่องที่ไม่เฮฮาบันเทิง ทั้งๆ ที่บางเรื่องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราโดยตรง แต่พอเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรา (เรียกง่ายๆ ว่า เรื่องของชาวบ้าน) กลับสนใจและอยากรู้มากเป็นพิเศษ อ้าว... ออกนอกเรื่องไปโน่นได้ไงแฮะ เอาเป็นว่าใครอยากเข้าใจว่า คำศัพท์ต่างๆ ที่เห็นในรายงานตรวจสุขภาพมีความหมายและความสำคัญยังไง ดาวน์โหลดไฟล์ได้ที่นี่เลย

5 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

โห...หายไปนาน กลับมาหมัดหนักน่าดูเลยนะครับ :)

nitbert กล่าวว่า...

อ้าว หนักไปหรือคะ? เดี๋ยวคราวหน้าจะเขียนเรื่อง ขนนก ละกัน :)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คงจะอีกนานกว่าเมืองไทยจะขยับขยายย้ายเมืองหลวง ทำไมเราไม่ย้ายตัวเองออกมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีๆ กันล่ะครับ

เปลี่ยนจากที่เคยวิ่ง มาลองเดินดูบ้าง อาจจะถึงที่หมายช้า แต่ถึงแน่

ออกมาเป็น nobody กันดีกว่าครับ

:)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ดีจังค่ะ ได้ความรู้เยอะเลย ^^

nitbert กล่าวว่า...

คุณ Anonymous, ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ
ยินดีที่ สิ่งที่เขียนไปมีประโยชน์กับคนอ่านบ้าง... ว่างๆ แวะมาทักทายกันอีกนะคะ :)

สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์